"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--

ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)



แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 140อักษร(วิทยาศาสตร์) แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 140อักษร(วิทยาศาสตร์) แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

"ฟองหยุ่น(Aerogel)" ของแข็งที่เบาที่สุดในโลก ทำจากซิลิคอนไดออกไซด์ หนักกว่าอากาศ3เท่า ใช้ทำชุดอวกาศ ชุดสกีฯ (ท) http://bit.ly/axxivE #FM99



"ฟองหยุ่น" เกิดขึ้น ครั้งแรกราว ค.ศ. 1930 และถูกเรียกว่า "วัสดุอนาคต" หรือ "วัสดุในฝัน" เนื่องจากกันความได้มากกว่า 1000 องศาเซลเซียส อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก และดูดความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ดี ปัจจุบัน ถูกนำมาใช้ทำชุดนักบินอวกาศ ชุดเล่นสกี ฉนวนกันความร้อน



ฟองหยุ่น เป็น วัสดุที่ทำจากซิลิคอนไดออกไซด์ (สารประกอบของซิลิกอนและออกซิเจน) เป็นของแข็งที่เบาและมีความหนาแน่นน้อยที่สุดในโลก หนักกว่าอากาศแค่ 3 เท่า กันความร้อนและไฟฟ้าได้ดี

ฟองหยุ่นมีเส้นใยฟองอากาศกับฟองแก้วรวมกัน อากาศจำนวนมากจะเกาะอยู่ระหว่างเส้นใย โดยคิดเป็น 98% ของปริมาตรทั้งหมด ดังนั้นเมื่อจุ่มมือลงในน้ำที่ผสมฟองหยุ่น มือจึงไม่เปียกน้ำ เพราะมีเยื่อกั้นอยู่

ข้อมูลเสริม Aerogel... is it technology or hype????
http://tt.tennis-warehouse.com/showthread.php?t=276580

อ้างอิง
วัสดุใหม่ไฮเทคจริงๆเลยเน้อ http://www.oknation.net/blog/limjira/2007/07/31/entry-3
Aerogel (Wiki) http://en.wikipedia.org/wiki/Aerogel
การศึกษาฟองหยุ่นในประเทศไทย http://siweb.dss.go.th/article/show_atricle.asp?article_ID=1280
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"มีราซอร์โวน" โมเลกุลที่แมลงปีกแข็งชนิดหนึ่งปล่อยป้องกันตัว ตั้งชื่อตามดารา"มีรา โซวีโน"จากMimic(ดร.ซูซานฯ) (ท/E) http://bit.ly/crhofL #FM99

ดาราฮอลลีวูดกับชื่อเคมี





มีราซอร์โวน (Mirasorvone) เป็นชื่อโมเลกุลชนิดหนึ่งที่แมลงปีกแข็ง ชื่อ Sunburst Diving Beetle ปล่อยออกมาเพื่อใช้ป้องกันตัวเองจากศัตรู โมเลกุลตัวนี้จะไม่น่าสนใจเป็นพิเศษเลย ถ้าหากไม่เป็นเพราะ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ตั้งชื่อโมเลกุลเคมีนี้ตามชื่อดาราสาว มีรา ซอร์วีโน (Mira Sorvino) เพื่อเป็นเกียรติแก่เธอในฐานะผู้รับบท ดร.ซูซาน ไทยเลอร์ (Dr.Susan Tyler) ที่ต่อกรกับแมลงอสุรกายอย่างน่าประทับใจในภาพยนตร์ไซไฟ เรื่อง Mimic ในชื่อไทยว่า "อสูรสูบคน"

ผลงานภาพยนตร์อื่นๆ ของมีรา ซอร์วีโน เช่น จุดไฟรัก เติมไฟฝัน (At First Sight) นักฆ่ากระสุนโลกันต์ (The Replacement Killer) เป็นต้น








Acknowledgments
This paper is no. 152 in the series Defense Mechanisms of Arthropods; paper no. 151 is ref. 22. We have named compound 9 affectionately in honor of Mira Sorvino, who, as Dr. Susan Tyler in the motion picture Mimic, successfully confronted the ultimate insect challenge. The study was supported by Grants AI02908 and GM53830 from the National Institutes of Health. Support (to J.M.) from the Bert L. and N. Kuggie Vallee Foundation, Inc. during the preparation of this report is gratefully acknowledged.


แปลกแต่จริงบนโลกวิทยาศาสตร์ ISBN : 978-974229-617-9
ข้อมูลตามต่อและเพิ่มเติม http://www.pnas.org/content/95/6/2733.full
Mira Sorvino http://en.wikipedia.org/wiki/Mira_Sorvino
Mira Sorvino+Mirasorvone http://scientific-child-prodigy.blogspot.com/2007/08/mira-sorvino-and-scientific-fame.html
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รากไม้.หลบสิ่งกีดขวางได้อย่างไร? มันหาเส้นทางใต้ดินเเหมือนคนคลำทางในความมืด รากมีวงจรเคมีสร้างโปรตีน ดูดแคลเซียม เจอขวางแคลเซียมไม่มีก็หลบไป

รากไม้..งอกหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างไร?


ราก คือ อวัยวะของพืชที่ไม่มีข้อ ปล้อง ตา และใบ จะเจริญลงสู่ดินตามแรงดึงดูดของโลก ขณะที่รากพืชเติบโตและแผ่ขยายใต้ดินนั้น มันจะค้นหาเส้นทางใต้ดินเช่นเดียวกับคนคลำทางในความมืด เมื่อเจอสิ่งกีดขวางก็จะหลบได้ เพราะในรากพืช มีวงจรเคมีสั่งการอยู่ วงจรเคมีที่ว่านี้ คือการสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งอยู่ที่ปลายราก ซึ่งมันสามารถสร้างรากอิสระที่กระตุ้นการดูดซึมแคลเซี่ยมจากดินได้ และยิ่งดูดซึมแคลเซี่ยมมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างโปรตีนมาก และหมุนเวียนเป็นวงจรมากขึ้นเท่านั้น

และเมื่อรากพืชไปเจอกับสิ่งกีดขวาง การดูดซึมแคลเซี่ยมก็จะหยุดลง รากก็จะเลื้อยและเติบโตไปในทิศทางอื่นแทน!!


ต้นฉบับ จากข่าวโมเดิร์นไนน์ http://variety.mcot.net/vdo756
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ฟาโรห์รู้จักน้ำมันดิบ? ใช้หล่อเพลารถศึกฟาโรห์ แม่ทัพกรีกใช้ราดลงน้ำจุดไฟเผาข้าศึก ขุดจริงจัง พ.ศ.2402 ที่USA ไทยเริ่มที่บ่อไชยปราการ ปี 2497

น้ำมันดิบใช้ประโยชน์มานานแค่ไหน??


น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นพลังงานอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันไม่น้อย ตั้งแต่ลืมตาจนกระทั่งเข้านอน




น้ำมันดิบ (Crude Oil) ได้มาจากการสำรวจขุดค้น แล้วสูบขึ้นมาจากใต้ดิน ทั้งบนบกและใต้ทะเล ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ สันนิฐานว่าน้ำมันดิบเกิดจากซากพืชซากสัตว์ ที่ตายทับถมนับล้านๆปี ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่ามนุษย์เริ่มรู้จักใช้นำมันดิบตั้งแต่เมื่อใด แต่มนุษย์เริ่มรู้จักน้ำมันดิบได้จากน้ำมันดิน หรือยางมะตอย

จากประวัติศาสตร์โบราณกล่าวว่า ได้มีการใช้น้ำมันดิบเป็นน้ำมันหล่อลื่นเพลารถศึกของฟาโรห์แห่งอียิปต์ พวกกรีกทำลายกองเรือพวกศันเธีย ลงได้โดยการนำน้ำมันราดลงไปในทะเลแล้วจุดไฟเผา พวกคนจีนในสมัยแรกๆก็มีการระบุไว้ในบันทึกว่า เคยรู้จักน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติมานานแล้ว แต่จากการขุดค้นเพื่อเจาะหาน้ำมันดิบที่แท้จริง และถือเป็นการเริ่มประวัติศาสตร์ ของอุตสาหกรรมน้ำมันดิบนั้น เริ่มขึ้นที่เมือง ติตัสวิลล์ รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐฯ เมื่อ 27 สิงหาคม 2402

สำหรับประเทศไทย เริ่มสำรวจน้ำมันตั้งแต่ พ.ศ. 2464 และในปี พ.ศ. 2497 ได้เจาะพบน้ำมันดิบแห่งแรกที่บ่อต้นขาม อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาเรียกว่า แหล่งน้ำมันไชยปราการ.



ที่มา : หนังสือทรัพยากรไทย ทรัพยากรโลก พ.ศ. 2550
บทความต้นฉบับ : History of the oil industrial  http://www.rigjobs.co.uk/oil/history.shtml
เพิ่มเติม http://www.energyfantasia.com/ef4/webboard/viewboard.php?Id=3746
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Nuclear fission--> Fritz Strassmann ไม่ได้ทำอะไร Nobel จึงเป็นของ Hahn คนเดียว ซึ่ง Meitner เป็นผู้คิด Hahn=ธาตุ105 Meitner=ธาตุ109

Lise Meitner มารดาของระเบิดปรมาณู
R.L. Sine รวบรวมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เหตุใด Meitner จึงสมควรได้รับรางวัลโนเบลร่วมกับ Hahn แต่ไม่ได้

บทความภาษาไทย จากวิชาการดอทคอม โดย ศาสตราจารย์ ดร.สุทัศน์ ยกส้าน
อ่านได้ที่ http://www.vcharkarn.com/varticle/76
บทความใกล้เคียงต้นฉบับ http://www.sdsc.edu/ScienceWomen/meitner.html
Lise Meitner ดาวน์โหลดเล่มเต็มๆ ไปอ่าน จาก กูเกิลอีบุ้ค
http://books.google.co.th/books?id=uPzZQzx-mkcC&printsec=frontcover&dq=Lise+Meitner&source=bl&ots=whQIEX5HCC&sig=1DemicFUjpm1s2ygYxONbdqDXp4&hl=th&ei=pPhWTNWsKYy8rAebk5nzAw&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=13&ved=0CE8Q6AEwDA#v=onepage&q&f=false

ซึ่งผู้เขียนบล็อกจะเรียบเรียงเป็นภาษาไทยต่อไป

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ศจ.โรบิน จอห์นสัน สร้างแบบการคำนวณเชิงเส้นของคลื่นทะเล เมื่อคลื่นทะเลแปรปรวนที่หนึ่งให้ระแวงไว้มันจะเกิดคลื่นยักษ์อีกที http://bit.ly/a9zg7K

จากบทความ "ไทยรัฐ" เสนอในมุมมองที่ผ่านมา
จึงนำมาต่อยอด หาเหตุ และ ความน่าจะเป็นของ ศจ.โรบิน ที่ใช้ทฤษฏีใดๆ คาดว่าจะเกิดอีก
และ อย่างไร



นักคณิตศาสตร์คิดสูตรคำนวณหาหัวใจคลื่นสึนามิ  มนุษย์เรือนแสนอาจไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของคลื่นยักษ์สึนามิถล่มอีกแล้ว เพราะนักคณิตศาสตร์ได้คิดสูตร ที่จะบอกให้รู้ล่วงหน้าและความรุนแรงมากน้อยขนาดไหน

ศาสตราจารย์โรบิน จอห์นสัน แห่งมหาวิทยาลัย นิว คาสเซิล ได้ศึกษาวิจัยเหตุการณ์เมื่อคลื่นยักษ์สึนามิถล่มแถบริมฝังทะเลในไทย อินเดีย อินโดนีเซีย และศรีลังกา รับเทศกาลคริสต์มาสเมื่อปี พ.ศ. 2547 ครั้งนั้นแผ่นดินไหวใต้มหาสมุทรลึก ได้ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์เป็นแนวยาว โถมถล่มริมฝั่งด้วยความเร็วอย่างน่าตกใจ ตามกันมารวม 6 ลูกด้วยกัน

ดร.โรบินเปิดเผยว่า คลื่นลูกที่สามนับเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สุด สูงถึง 20 เมตร ทรงพลังทำลายล้างมากที่สุด ซัดเอารถไฟทั้งขบวนตกรางที่ริมฝังของศรีลังกา สังหารชีวิตมนุษย์ไปเกือบ 1,000 คน

คณะนักวิจัยได้รายงานผลการศึกษา ในวารสารวิชาการ งานวิจัยการเคลื่อนไหวของของเหลว ว่า "เราพบว่าจำนวนและความสูงของคลื่นยักษ์สึนามิ ที่ถล่มชายฝั่ง ขึ้นอยู่กับลักษณะของคลื่นใต้น้ำลึกที่โผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำตอนแรกอย่างสำคัญ จากจุดนี้ ทำให้เราสามารถดูออกมาได้ว่าคลื่นนำ เป็นท้องหรือหัวของคลื่น

หากเป็นท้องคลื่น ก็จะมีกระแสน้ำพุ่งนำหน้าคลื่นยักษ์สึนามิที่กำลังตามเข้ามา แต่ถ้าหากเป็นหัวคลื่น จะไม่มีการเตือนอันใดเลย นอกจากกำแพงน้ำที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว"

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ




Prof. Robin Johnson
Professor of Applied Mathematics
ประวัติ http://www.ncl.ac.uk/math/staff/profile/r.s.johnson

ประสบการณ์ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์
•Nonlinear wave propagation with applications to water waves
•Soliton theory
•Singular perturbation theory
•Fluid mechanics



ผลงานน่าสนใจที่ตีพิมพ์เผยแพร่
Selected Publications
•Constantin A; Johnson RS. Propagation of very long water waves, with vorticity, over variable depth, with applications to tsunamis. Fluid Dynamics Research 2008, 40(3), 175-211.
•Johnson RS. Edge waves: theories past and present. Philosophical Transactions of The Royal Society of London A: Mathematical, Physical and Engineering Sciences 2007, 365(1858), 2359-2376.
•Constantin A & Johnson RS. Modelling tsunamis. J.Phys.A: Math. Gen 2006, 39, L215-217.
•Johnson RS. Some contributions to the theory of edge waves. Journal of Fluid Mechanics 2005, 524, 81-97.
•Johnson RS. Singular perturbation theory. New York: Springer, 2004.
•Johnson RS. On solutions of the Camassa–Holm equation. Proceedings of the Royal Society A: Mathematical, Physical and Engineering Sciences 2003, 459(2035), 1687-1708.
และ อื่นๆ

เอกสารเพื่อเทียบเคียงเป็นแนวคิดของการคำนวณล้วนเป็นหนังสือขายทั้งสิ้น
หาเอกสารออนไลน์ไม่ได้ขณะนี้  แต่สามารถสรุปประเด็นความคิดรวบยอดได้ว่า

สถิติเชิงเส้นของคลื่นในน้ำ ต้องจะแปรผันตามสภาวะบนผิวน้ำ อาทิ น้ำขึ้น น้ำลง กระแสลม จะมีสถิติในการเปลี่ยนแปลงความสูงที่สุดของคลื่นที่จะซัดเข้าหาฝั่งที่เปลี่ยนแปลงไม่มากนัก หรืออยู่ในสภาวะปกติที่อยู่ในเขตที่เรียกว่า ปลอดภัย ภัยทางทะเล


หากวันใด สถิติเชิงเส้นของขึ้นสูงสุดจากสถิติ(เชิงเส้นของเดิม)แปรผลไปมาก และผิดปกติ มันจะมีผลต่อท้องคลื่น และความสูงของคลื่นมากที่สุด ที่ภูมิภาคทะเลอื่นได้  ซึ่งหมายความว่า อาจเกิด "ซึนามิ" ขึ้นในภูมิภาคนั้น  อาทิ เส้นกราฟแปรผลจากชายฝั่งแคนาดาผิดปกติ นำไปคำนวนทางเดินของคลื่นได้ว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของคลื่น(เชิงเส้น-2มิติ) จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ (ถ้าแผ่วลงก็จะไม่เข้าชายฝั่ง) ถ้ารุนแรงเรื่อยๆตามรูปแบบวิกฤติแล้ว จะไปมีความสูงของคลื่นสูงสุด (ประมาณ 20 เมตร)  ที่ฝั่งเอเซีย เมื่อนำผลกราฟของทุกชายฝั่งประเทศในเอเซียมาสังเกตความเคลื่อนไหว จะรู้ได้ว่า จะเกิดซึนามิ ขึ้น ณ ตำแหน่งใดในโลก ได้อย่างใกล้เคียงที่สุด


ซึ่งผู้เขียนบล็อกนี้ จะได้ค้นคว้า เรียบเรียง และนำเผยแพร่ต่อไป


อ้างอิงตามเว็บไซต์ข้างต้น

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จาก6ส.ค.2534เขาคิดข้อความหลายมิติ(Hypertext)เชื่อมTPC&DNS เป็นผู้ทรงอิทธิพล1ใน10ของโลก ได้เครื่องราชย์จากUK เขาคิดเว็บแรกของโลก info.cern.ch

คุณรู้ไหมเว็บไซต์แรกของโลกคือเว็บอะไร ถ้าไม่รู้จริงๆ ลองเปิดไปนี่สิครับ http://info.cern.ch/  ประโยคแรกบนจอที่คุณเห็นคือ Welcome to info.cern.ch The website of the World's First-Ever Web Server นี่คือเว็บไซต์แรกของโลก

http://info.cern.ch/  เปิดตัวครั้งแรกบนโลกไซเบอร์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2534 เว็บไซต์นี้ สร้างโดย Sir Timothy John Berners-Lee, OM, KBE, FRS, FREng, FRSA ซึ่งคนทั้งโลก จะรู้จักในนามของเขาว่า Tim Berners-Lee ผู้คิดและพัฒนาระบบ WorldWideWeb หรือ www เป็นคนแรกของโลก

Tim Berners-Lee เกิดในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรของนาย Convey Berners-Lee และนาง Mary Lee Wood 2 นักคณิตศาสตร์ ผู้อยู่ในทีมสร้างคอมพิวเตอร์ "Manchester Mark 1" ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ยุคแรกของโลก ซึ่งในช่วงเดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2523 Tim Berners-Lee ทำงานเป็น Freelance อยู่ที่ Cern และเขาเสนอโครงการ "ข้อความหลายมิติ" (Hypertext) ขึ้นเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักวิจัยด้วยกัน โดยมีการเริ่มสร้างระบบต้นแบบไว้แล้ว ในชื่อ ENQUIRE


ทั้งนี้ ในปี 2532 Cern ถือเป็นศูนย์อินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และ Berners-Lee ได้เล็งเห็นโอกาสในการใช้ "ข้อความหลายมิติ" ผนวกเข้ากับอินเทอร์เน็ต เขาเขียนไว้ในข้อเสนอโครงการของเขาเมื่อเดือนมีนาคม 2532 ว่า "...ผมเพียงเอาความคิดเรื่องข้อความหลายมิตินี้เชื่อม ต่อเข้ากับความคิด "TCP" และ "DNS" และเท่านั้นก็จะได้ "World Wide Web”


ในปี 2533 Robert Cailliau ก็เข้ามาช่วยปรับร่างโครงการให้ ซึ่ง Berners-Lee ได้ใช้ความคิดเดียวกับระบบเอ็นไควร์มาใช้สร้าง World Wide Web โดยได้ออกแบบและสร้างเว็บเบราว์เซอร์และเอดิเตอร์ตัว แรก เรียกว่า WorldWideWeb และพัฒนาด้วย NEXTSTEP เรียกว่า httpd ซึ่งย่อมาจาก HyperText Transfer Protocal Deamon

คอมคู่ชีพเครื่องแรกของ Tim Berners-Lee ประวัติศาสตร์อินเตอร์เน็ต บันทึกไว้ว่า เว็บไซต์แรกสุดที่ Cern นำขึ้นออนไลน์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2534 โดยให้คำอธิบายว่า www คืออะไร การที่จะเป็นเจ้าของบราวเซอร์ทำได้อย่างไร และจะติดตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างไร

จากนั้น Berners-Lee ก็ให้ความคิดแก่ทุกคนและทุกองค์กรโดยไม่คิดมูลค่า เขาไม่เคยจดทะเบียนลิขสิทธิ์การค้นคิดของเขาเลย รวมทั้งไม่เรียกค่าตอบแทนหรือรางวัลอื่นใดจากใคร นอกจากเงินเดือนปกติ ดังนั้น กลุ่มบริษัท World Wide Web จึงตัดสินใจไม่คิดมูลค่าใด ๆ จากการนำมาตรฐานของกลุ่มบริษัทไปใช้ เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกรายยอมรับมาตรฐานเดียวกันได้ บนพื้นฐานทางเทคโนโลยี ไม่ใช่พื้นฐานค่าสิขสิทธิ์ถูกหรือแพง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ที่ในปี 2548 Tim Berners-Lee ได้รับยกย่องจากนิตยสาร Time ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลของศตวรรษที่ 20


นอกจากนั้น ในวันที่ 13 มิถุนายน 2550 เขาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายหน้า จากสมเด็จพระบรมราชินีเอลิซาเบธที่ 2 เป็นการส่วนพระองค์ (Tim จึงมีคำว่า"เซอร์" นำหน้าชื่อ) ซึ่งนับถึงวันนี้ คนที่ได้รับเครื่องราชนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีเพียง 24 คนเท่านั้น




ที่มา http://info.cern.ch/  และ http://en.wikipedia.org/wiki/World_Wide_Web
เว็บเผยแพร่ http://social.eduzones.com/racchidlom/52497
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

น้ำหมึกปากกา?? ประกอบด้วย ตัวทำละลาย สี และสารเติมแต่ง เมื่อเขียนไปหมึกยังไม่แห้งทันทีต้องรอปฏิกิริยากับอากาศ หมึกจีนเขียนบนผ้าติดทน400ปี

หมึกปากกา ทำมาจากอะไร??

หมึกแห้งโดยทั่วไปมีองค์ประกอบ ๓ ส่วน คือ ตัวทำละลาย สี และสารเติมแต่ง




ส่วนแรก คือ ตัวทำละลาย หรือสารหล่อลื่น โดยทั่วไปจะใช้ไกลคอล (glycol) ไกลคอล อีเทอร์ (glycol ether) หรือ อะโรมาติกแอลกอฮอล์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือผสมกัน สารเคมีเหล่านี้มีจุดเดือดสูงกว่า ๑๘๐ องศาเซลเซียส จึงค่อนข้างเสถียรที่อุณหภูมิห้อง การระเหยของตัวทำละลายบริเวณปลายปากกาจะทำให้เกิดการปิดกั้นตัวเองโดยปริยาย (self sealing skin) ทำให้ตัวทำละลายไม่ระเหยออกมาอีก และยังป้องกันการเปรอะเปื้อนที่ปลายปากกาได้ด้วย กระบวนการนี้ไม่มีผลต่อการไหลของหมึกเมื่อเขียนลงบนกระดาษ ถึงกระนั้นในบางครั้งโครงสร้างแบบนี้ก็มีผลให้การเขียนในครั้งแรกมีปัญหาได้


ส่วนที่สอง คือ สี จะใช้ในรูปของผงสีที่เลือกให้เหมาะสมกับตัวทำละลาย การผสมสี โดยปกติจะต้องใช้เวลา ซึ่งขึ้นอยู่กับความไวต่อแสง น้ำ ความคงทนของสี และความสามารถในการผสมเข้ากับตัวทำละลาย ส่วนหลังนี้สำคัญมากเพราะความเข้มข้นของสีที่ใช้นั้นจะสูงถึงร้อยละ ๕๐ โดยน้ำหนัก ที่ต้องใช้ความเข้มข้นที่สูงเช่นนี้เพราะเฉพาะส่วนฟิล์มบาง ๆ ของหมึกเท่านั้นที่จะติดอยู่บนกระดาษ และจากไส้หมึกปกติที่มีหมึกอยู่ประมาณ ๒๐ เท่าของน้ำหมึกในปากกาหมึกซึม ทำให้ต้องใช้ปริมาณของสีสูงมากไปด้วย

ส่วนสุดท้าย คือ สารเติมแต่ง ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นโดยผู้คิดสูตรเพื่อให้ได้หมึกที่ดีมีคุณสมบัติเฉพาะ ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เป็นความลับ เพราะจะมีผลต่อการผลิตปากการุ่นใหม่ออกมา

เมื่อเราใช้ปากกาเขียนบนกระดาษ ครั้งแรกน้ำหมึกจะยังไม่แห้งทันที แต่จะเกิดปฏิกิริยาระหว่างตัวทำละลายกับความชื้นในอากาศ รวมทั้งองค์ประกอบอื่น ๆ ในน้ำหมึก ทำให้น้ำหมึกที่เขียนลงบนกระดาษมีลักษณะอย่างที่เห็น น้ำหมึกจะแห้งสนิทเมื่อตัวทำละลายระเหยหรือซึมลงไปในกระดาษ


ที่มา :  วิยะดา ธนพัฒนาชัย เล่าไว้ใน UPDATE ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๘ ส่วนคำถามเรื่องปากกาเคยตอบไว้แล้วในหนังสือ “๑๐๘ ซองคำถาม" เล่ม ๒
“ที่มาจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”
http://guru.sanook.com/answer/question/หมึกปากกาทำจากอะไร/
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ใยแมงมุม..เหนียวกว่าเหล็ก?? BioSteel กองทัพUSผู้ผลิต&จข.สิทธิ์ โดยการเพาะเซลล์ปั่นกับน้ำและเมทานอล แพทย์ใช้เย็บหลอดเลือดฯลฯ ทำเอ็น และอาวุธ

ใยแมงมุม…สังเคราะห์


ท่านที่ได้เคยชมภาพยนต์เรื่อง มนุษย์แมงมุม (spider man) ที่กำลังลงโรงฉายอยู่ในปัจจุบันอาจจะสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ใยแมงมุมเส้นเล็กๆ เพียงเท่านั้นจะสามารถรองรับน้ำหนักของมนุษย์คนหนึ่งให้ห้อยโทนโจนทะยานไปมาระหว่างซอกตึกต่างๆ โดยไม่ขาด เป็นไปได้แน่นอน ในความเป็นจริงแล้ว ใยแมงมุมถือได้ว่าเป็นวัสดุธรรมชาติที่มีความแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ เนื่องจากโครงสร้างโปรตีนไฟโบรอีน (fibroine) ที่จัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบสูง ถ้าจะเทียบไปแล้วใยแมงมุมแข็งแรงกว่าเหล็กถึง 5 เท่า และแข็งแรงกว่าเส้นใยเคฟลาร์ที่ใช้ผลิตคอมโพสิทในงานทางวิศวกรรมและทางทหารถึง 3 เท่าในน้ำหนักที่เท่ากัน นอกจากมีความแข็งแรงแล้วในแมงมุมยังมีความเหนียวที่ดีมากสามารถยึดตัวออกได้สูง จะเห็นได้จากความมีประสิทธิภาพของมันในการดักจับแมลงต่างๆ ที่บินชนโดยไม่เกิดการขาดแต่อย่างใด ใยแมงมุมหนึ่งเส้นมีขนาดเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์กว่า 10 เท่า แต่สามารถที่จะหยุดผึ้งที่บินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ ถ้าจะมองภาพให้ชัดเจนมากขึ้น ใยแมงมุมเส้นเดียวที่มีความหนาขนาดเท่ากับดินสออาจจะมีความสามารถในการที่จะหยุดเครื่องบิน โบอิ้น 747 ให้หยุดบินได้เหมือนแมลงอย่างไม่ยากเย็นนัก


ความมหัศจรรย์ของใยแมงมุมอาจจะเป็นความจริงสำหรับมนุษย์ในไม่ช้า แต่คงไม่ใช้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับการเดินทางแบบใหม่เหมือนในภาพยนตร์ หน่วยงานของกองทัพสหรัฐอเมริกาคือ US Army Soldier Biological Chemical Command (SBCCOM ) ร่วมกับบริษัท Nexia Biotechnologies Inc. ได้พัฒนาเทคนิกในการผลิตและปั่นเส้นใยแมงมุมสังเคราะห์ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก โดยสามารถผลิตให้มีสมบัติเทียบเคียงกับใยแมงมุมในธรรมชาติ เส้นใยดังกล่าวมีชื่อทางการค้าว่า BioSteel ? (ใยแมงมุมสังเคราะห์นี้ ผลิตขึ้นโดยการผลิตโปรตีนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของใยแมงมุมด้วยเทคนิกการเพาะเลี้ยงเซลล์ (cell culture) ของยีนที่ได้จากแมงมุมจากโปรตีนโมโนเมอร์ที่ผลิตขึ้นได้จะถูกนำไปปั่นผ่านของผสมระหว่างน้ำและเมทานอลเพื่อให้เกิดการแข็งตัวเป็นเส้นใยขึ้น

ความคิดในการผลิตใยแมงมุมขึ้นใช้งานไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ แต่ปัญหาคือจะทำได้อย่างไรถ้าจะผลิตใยธรรมชาติเหมือนกับการผลิตใยไหม แมงมุมก็ไม่สามารถถูกเพาะเลี้ยงเป็นจำนวนมากได้เหมือนหนอนไหม เพราะนิสัยตามธรรมชาติของแมงมุมที่จะรักษาอาณาเขตในการอาศัย ถ้ามองถึงแม้จะมีการสังเคราะห์ ถึงแม้จะมีการศึกษาและสร้างโปรตีนของใยแมงมุมได้นานแล้วก็ตาม แต่ยังไม่สามารถผลิตในปริมาณมากได้ ด้วยเทคนิคที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในปัจจุบันนี้เอง จึงเป็นการเปิดโอกาสในการที่จะผลิตใยแมงมุมสังเคราะห์ในปริมาณมากเพื่อนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้

โดยปรกติแมงมุมจะผลิตใยขึ้นแตกต่างกันถึง 7 ประเภท ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งาน แต่ใยแมงมุมประเภท dragline เป็นเส้นใยประเภทที่ได้รับความสนใจในการสังเคราะห์ขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากเส้นใยประเภทนี้มีความแข็งแรงมากเป็นเส้นใยที่แมงมุมใช้ปล่อยตัวจากที่สูงและใช้เป็นใยวงนอกสุดและเส้นใยโครงที่แผ่จากจุดศูนย์กลางของใยแมงมุมในการดักแมลง อย่างไรก็ตามเส้นใยแมงมุมที่สังเคราะห์และผลิตขึ้นได้นี้มีความแข็งแรงที่ต่ำกว่าใยแมงมุมธรรมชาติ แต่มีความแกร่งและความเหนียวเทียบเท่ากันในอนาคตจะมีการพัฒนาให้ใยสังเคราะห์มีสมบัติที่ดีขึ้นและมีหลายประเภทเช่นเดียวกับใยในธรรมชาติเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน



ประโยชน์ของใยแมงมุมสังเคราะห์ในทางการแพทย์นั้น ใยเหล่านี้คาดว่าสามารถถูกนำมาใช้ผลิตวัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เย็บหลอดเลือด แผ่นปิดแผล กาว ไหมละลาย หรือแม้แต่เส้นเอ็นเทียม ทั้งนี้ด้วยความเหนียวที่เป็นเยี่ยมของใยแมงมุม ทำให้การขาดเสียหายของอุปกรณ์เหล่านี้จากการใช้งานลดต่ำลง นอกจากนี้ยังสามารถที่จะลดขนาดของอุปกรณ์บางประเภทแต่ยังคงความแข็งแรงตามเดิม เช่น ไหมละลาย เป็นต้น นอกจากนี้อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้งานระยะยาวไม่ว่าจะเป็นแบบถาวรหรือแบบสลายตัวได้ก็จะสามารถถูกผลิตจากใยแมงมุมสังเคราะห์ได้เช่นกัน นอกจากประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว ใยแมงมุมสังเคราะห์ยังสามารถใช้งานทางอุตสาหกรรมที่ต้องการเส้นใยประสิทธิภาพสูง เช่น การทำเสื้อเกราะอ่อนกันกระสุน เชือกหรือเส้นเอ็น หรือเอ็นของเบ็ดตกปลา เป็นต้น

BioSteel จะเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับใยแมงมุมตามธรรมชาติ (แต่อาจจะไม่เป็นมิตรต่อแมลง) มันสามารถที่จะสลายตัวได้เองในภาวะที่มีน้ำ นอกจากนี้กระบวนการผลิตก็ยังไม่ต้องใช้ตัวทำละลายที่เป็นพิษอีกด้วย คงอีกไม่นานเกินรอ ที่เราจะได้ใช้ใยแมงมุมเหมือนมนุษย์แมงมุม แต่จะเอาไว้ปราบปรามเหล่าร้ายหรือไม่นั้นคุณเป็นคนเลือก



ที่มา/เอกสารอ้างอิง
1.Lazaris et al. (2002), Science, 295. Pp. 572-576.
2.Bijal P. Trivedi (2002), National Geographic Today, January 17.
3. http://www.denniskunkel.com/
4. http://www.nexiabiotech.com/
ดร.จินตมัย สุวรรณประทีป
เว็บไซต์เผยแพร่ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) http://www.mtec.or.th/
ข้อมูลจาก…วงการแพทย์ ฉบับวันที่ 1-10 มิถุนายน 2545

ข้อมูลเพิ่มเติม ใยแมงมุม เกราะใยแมงมุม  http://www.vcharkarn.com/vcafe/9886

โรคต้านสังคม..มีจริง?? ละเมิดสิทธิ์ ไม่รับผิดชอบ ก้าวร้าว ทำลายของ ไม่ยึดกฎ แพทย์ถือว่าเป็นโรคนี้ เกิดจากการเลี้ยงดูแต่เด็ก รักษาทางจิตเวช

โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม

(Antisocial Personality Disorder)
นพ. พนม เกตุมาน


โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคมนี้พบได้บ่อย เกิดขึ้นทั่วไปแม้แต่ในครอบครัวของเรา เกิดขึ้นกับเพื่อนบางคนของเรา ทำให้เราเดือดร้อน มักจะก่อเรื่องให้เกิดความสูญเสียแก่คนอื่น และเกิดความสูญเสียแก่ส่วนรวมอย่างมาก ความจริงแล้วโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาในวัยเด็ก และการเลี้ยงดูไม่เหมาะสมมาตั้งแต่เล็ก ซึ่งสามารถป้องกันได้ แต่ก็เป็นโรคที่ถูกมองข้าม ละเลย ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน เนื่องจากเมื่อเกิดขึ้นแล้วรักษายากมาก และไม่ค่อยได้ผล

อาการ
1. ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
2. ไม่มีความรู้สึกผิด
3. ไม่มีความรับผิดชอบ
4. ก้าวร้าว ทำร้ายคนอื่น รังแกสัตว์
5. ทำลายข้าวของสาธารณะ
6. ทำผิดกฎเกณฑ์ กติกาของหมู่คณะ หรือกฎหมาย


โรคนี้มักเป็นตั้งแต่เด็ก อาการจะมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจาก ซน อยู่ไม่นิ่ง พูดเก่ง คุยเก่ง ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ชอบพูดคำหยาบ ใจร้อน ขี้โมโห เวลาโกรธจะยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ ทำให้มีเรื่องกันบ่อยๆ บางทีถึงชกต่อยกันที่โรงเรียน พฤติกรรมมักจะเลียนแบบพ่อ หรือคนในครอบครัวที่เกเร และพ่อแม่ไม่มีเวลาแก้ไขพฤติกรรมลูก ครอบครัวมักไม่อบอุ่น พ่อแม่มีปัญหาครอบครัว มีโรคทางจิตเวช หรือการใช้สารเสพติดในครอบครัว ความก้าวร้าวเกเรของจะมากขึ้นเรื่อยๆ ผลการเรียนแย่ลง เพราะไม่ค่อยเข้าเรียน ชอบโดดเรียนไปเล่นเที่ยว เพื่อนมักจะเป็นเด็กโตกว่า และนิสัยเกเรเช่นกัน ความก้าวร้าวในกลุ่มทำให้ไปมีเรื่องกับโรงเรียนอื่น

บุคลิกภาพแบบนี้ ไม่ใช่แบบต่อต้านสังคมแบบชอบทำอะไรต่อต้าน ประท้วง โวยวายไปหมดนะครับ แต่บุคลิกภาพแบบนี้จะละเมิดกฎเกณฑ์ กฎหมาย เพื่อความพึงพอใจของตนเอง เวลาต้องการอะไรจะต้องให้ได้ทันที ยั้งใจตัวเองไม่ได้ เวลาโกรธจะรุนแรง ตอนพวกเราเด็กๆเราคงเคยเจอปัญหาเพื่อนที่มีลักษณะแบบนี้ คนที่เกเรที่สุดในห้อง คนที่เราไม่ค่อยอยากเล่นด้วยเพราะเขาชอบแกล้งเพื่อนรังแกเพื่อน ทำผิดเสมอๆ ถูกดุถูกว่าบ่อยๆ โตขึ้นก็จะยังเป็นแบบนี้ ดูเผินๆอาจจะเหมือนคนปกติ เพราะเจ้าตัวจะปิดบังอาการและความไม่ดีได้บางช่วง ในสังคมเรามีคนที่บุคลิกภาพผิดปกติแบบนี้ไม่น้อย ที่เห็นชัดๆปรากฏเป็นข่าวอาชญากรรมขึ้นหน้าหนึ่งแทบทุกวัน ได้แก่พวกที่ จี้ ปล้น ฆ่า ข่มขืน แต่ที่เห็นไม่ค่อยชัดได้แก่พวกโกหก หลอกลวง โกง คอร์รับชั่น หาประโยชน์ใส่ตนหรือพรรค-พวก กลุ่มนี้จะฉลาด จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็มักจะหลุดรอดออกมาเป็นที่นับถือของคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะมีเงินมาก มีอำนาจสูง สามารถสร้างภาพให้คนหลงเชื่อได้ว่าเป็นคนดี กลุ่มหลังนี้อันตรายกว่ากลุ่มแรกมากเพราะพวกเราชาวบ้านไม่ค่อยรู้ชัดๆว่าเป็นใคร

การมีคนประเภทนี้ในสังคมทำให้เราเสียประโยชน์มากมาย นอกจากประเทศชาติจะถูกโกง คนบริสุทธิ์ถูกเบียดบังประโยชน์แล้ว ที่เห็นชัดๆก็คือ เวลาพวกนี้ทำผิด รัฐต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียวในการจัดการ ตั้งแต่การติดตามจับกุม สืบสวน สอบสวน ฟ้องศาล และดูแลในคุก นอกจากเสียเงินแล้ว เรายังเสียทรัพยากรอื่นๆ เช่น บุคลากร เวลา สถานที่ ฯลฯ ทำให้คนที่ควรจะทำอะไรเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต้องมาเสียเวลากับคนกลุ่มนี้ไม่น้อย สำหรับประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้โดยตรง ก็ต้องมาหาทางป้องกันปัญหาที่จะถูกละเมิดได้เมื่อใดก็ไม่รู้ตัว บ้านเราก็เลยต้องมีรั้วสูงๆ มีเหล็กดัดกันขโมย ทำให้เราต้องหมดเปลืองไปกับคนพวกนี้


การรักษา
การรักษาคนที่มีความผิดปกติแบบนี้ ทำได้ยากมากๆ เพราะการกระทำของเขาจะกลายเป็นนิสัยส่วนตัว เป็นบุคลิกภาพ ที่สำคัญคือเจ้าตัวมักจะไม่รู้ตัว ไม่เห็นปัญหาในการแก้ไข ไม่ร่วมมือในการรักษา การป้องกันจึงสำคัญและลงทุนน้อยกว่า

การป้องกัน
การจะป้องกันโรคนี้ ต้องตอบให้ได้ก่อน ทำไมคนถึงป่วยเป็นโรคนี้ คำถามนี้น่าสนใจมาก ถ้าเรารู้คำตอบ น่าจะป้องกันได้

ปัจจุบันเราค่อนข้างมั่นใจว่า โรคนี้เกิดจากการเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดของเด็ก การขาดการดูแลในช่วงขวบปีแรกซึ่งสำคัญมากในการสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ ความรู้สึกที่ดีต่อคนอื่น การมองโลกในแง่ดี การรู้สึกเห็นอกเห็นใจใคร จะเป็นสาเหตุใหญ่ข้อหนึ่ง ต่อมา การขาดการฝึกการควบคุมตนเอง ระเบียบวินัยในขวบปีที่สองและสาม จะทำให้เด็กขาดการควบคุมจิตใจตนเอง ทำให้เด็กเอาแต่ใจตนเอง ในวัยต่อๆมาเด็กจะเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ พี่น้อง คนในครอบครัวและใกล้ชิด ครอบครัวเป็นแบบใดเด็กก็มักจะเป็นแบบนั้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียน ก็จะเรียนรู้จากเพื่อน และครู นอกจากนี้สังคมภายนอกก็เป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็กเช่นกัน การเรียนรู้เหล่านี้ ถ้าเป็นไปด้วยดี เด็กจะมีความมั่นคงในอารมณ์ รู้จักแยกแยะดีเลว และควบคุมตัวเองให้อยู่ในกติกาสังคมได้ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะช่วยกันป้องกันปัญหานี้



ที่มา :
คลินิคจิต-ประสาท 563 ถ.สามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กทม 10300 โทร. 0-2243-2142 0-2668-9435  ส่งเมล์ถึง panom@psyclin.co.th พร้อมด้วยข้อสงสัยหรือข้อคิดเห็น
รูปภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต
เพิ่มเติม เรื่อง : แบบประเมินความผิดปกติทางอารมณ์ http://www.dmh.go.th/stydepression/knowledge/view.asp?id=29

แข็งกว่าเพชร..แข็งไปทำไม?? "กราฟิน" หนา1อะตอม ใช้แทนซิลิกอน หรือ biochemical sensors ซึ่ง MIT คาดนำมาทำ CPU ได้ 1T HZ กลาโหมUSซุ่มพัฒนาอยู่

อะไรแข็งกว่าเพชร ?? แล้วจะทำมาทำอะไร??


เพชรได้รับการยกย่องว่าเป็นอัญมณีที่มีค่าควรเมืองมานานหลายพันปีแล้ว กษัตริย์ในสมัยโบราณนิยมประดับเครื่องทรงด้วยเพชร เพราะถือว่าเพชรเป็นสัญลักษณ์ของการมีอำนาจ และวาสนา คนยุโรปสมัยกลางเชื่อว่าเพชรเป็นวัตถุมงคลที่สามารถขจัดปัดเป่าภัยอันตรายจากภูติผีปีศาจทั้งหลายทั้งปวงได้ พระนาง Mary แห่งสกอตแลนด์ ทรงสวมแหวนเพชร เพราะพระนางทรงเชื่อว่า เพชรจะช่วยให้พระนางปลอดภัยจากการถูกลอบปลงพระชนม์ (แต่แหวนเพชรวงนั้นก็มิได้ช่วยให้นางรอดพ้นจากการตัดสินประหารชีวิตโดยพระนาง Elizabeth ที่ 1 แห่งอังกฤษ) ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 ผู้คนเชื่อว่า เพชรมีเพศ คือเพศผู้กับเพศเมีย หากเรานำเพชรมาอยู่รวมกันจะมีลูกเพชรเกิดขึ้น และการได้เห็นเพชรก่อนออกเดินทาง จะนำโชคลาภมาให้ เป็นต้น


มาถึงสมัยปัจจุบัน เพชรเป็นสัญลักษณ์สากลที่ใช้ในพิธีหมั้น เป็นเครื่องหมายแสดงความจริงใจและความเสมอต้นเสมอปลายของผู้ให้

นักฟิสิกส์ในสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการสร้างรอยต่อ p-n ( หรือ p-n junction) จากวัสดุนาโนที่เรียกกันว่า กราฟีน (Graphene) ซึ่งเป็นแผ่นคาร์บอนที่มีความหนาเพียงแค่หนึ่งอะตอม ความหนาแน่นประจุบนอุปกรณ์นี้สามารถควบคุมได้โดยการให้ความต่างศักย์ผ่านทางขั้วไฟฟ้าซึ่งติดกับผิวของอุปกรณ์แผ่นบางๆนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้อาจจะช่วยให้นักฟิสิกสืสามารถนำเอา กราฟีน มาสร้างทรานซิสเตอร์ ที่มีประสิทธิภาพดีและขนาดเล็กกว่าทรานซิสเตอร์จากซิลิกอน (Silicon) ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน



กราฟีนเป็นวัสดุสองมิติที่มีโครงสร้างเป็นรูปตาข่ายรวงผึ้งของอะตอมคาร์บอน กราฟีนเป็นโครงสร้างพื้นฐานของวัสดุคาร์บอนที่มีรูปแบบโครงสร้าง (allotropic forms) ชนิดอื่น เช่น buckyballs, ท่อนาโนคาร์บอน (Carbon nanotube) และ กราไฟต์ซึ่งเป็นส่วนประกอบของใส่ดินสอ เป็นต้น กราฟีนค้นพบในปี 2004 โดยกลุ่มนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในประเทศอังกฤษ คุณสมบัติทางการนำไฟฟ้าของมันมีความน่าสนใจ เพราะไม่ได้มีอิเล็กตรอนเป็นอนุภาคพาหะ แต่เป็นกลุ่มของอนุภาคที่มีสปินครึ่ง และคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วใกล้แสง (1 ใน 300 เท่าของอัตราเร็วแสง) ซึ่งอาจจะนำมาช่วยในการศึกษาอันตรกริยาขั้นพื้นฐานของอนุภาคต่างๆได้ นอกจากนี้แล้วกราฟีนยังเป็นความหวังในการสร้างอุปกรณ์นาโนอิเล็กโทรนิก เช่น ทรานซิสเตอร์ และ เครื่องตรวจจับสารเคมีต่างๆอีกด้วย



ในการที่จะสร้างทรานซิสเตอร์ได้นั้น นักฟิสิกส์จะต้องนำกราฟีนมาสร้างรอยต่อ p-n หรือ p-n junction ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกต่างๆให้ได้เสียก่อน โดยการต่อขั้วไฟฟ้าบวก และขั้วไฟฟ้าลบ บนแผ่นของกราฟีน ขั้วไฟฟ้าบวกจะจะดึงประจุลบจากแผ่นกราฟีนที่อยู่ข้างล่างมันทำให้เกิดเป็นบริเวณที่มีประจุลบมาก (เทียบได้กับ สารกึ่งตัวนำที่เป็น n-type) ในขณะที่ขั้วไฟฟ้าลบก็จะผลักประจุลบออกไปจากบริเวณนั้นทำให้เกิดบริเวณที่มีประจุบวก (เทียบได้กับสารกึ่งตัวนำที่เป็น p-type) หรือในอีกแง่หนึ่งบริเวณระหว่างขั้วไฟฟ้าทั้งสองก็จะมีคุณสมบัติเหมือนกับ รอยต่อ p-n ในตัวไดโอดนั่นเอง

อย่างไรก็ตามการจะติดขั้วไฟฟ้าลงบนแผ่นกราฟีนที่มีความบางเพียง 1 อะตอมทำได้อยากมาก เพราะแผ่นกราฟีนอาจจะเกิดการฉีกขาดและเสียหายได้ นักฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด นำโดย ดร. ชาลส์ มาคุส (Charles Marcus) ค้นพบเทคนิคที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ โดยเทคนิคดังกล่าวเรียกว่า Atomic layer deposition (หรือ ALD) ซึ่ง ดร. คุส กล่าวว่าเขาได้ขอยืมเทคนิคนี้มาจากนักเคมี ที่สังเคราะห์ท่อนาโนคาร์บอน ซึ่งเป็นการเอาแผ่นกราฟีนมาม้วนเป็นท่อนั่นเอง


อย่างไรก็ตามแม้ว่านักฟิสิกส์จะประสบความสำเร็จในการสร้างรอยต่อ p-n จากกราฟีนได้แล้ว แต่รอยต่อนี้มีคุณสมบัติที่ต่างกันกับรอยต่อ p-n ที่ได้จากสารกึ่งตัวนำ ที่สำคัญคือไม่มีช่องว่างของพลังงานที่เรียกกันว่า Energy gap ทำให้มันไม่สามารถนำมาใช้ในทรานซิสเตอร์ได้ นักฟิสิกส์จึงจะต้องสร้างช่องว่างพลังงานให้กับแผ่นกราฟีน ซึ่งทีมของ ดร. มาคุส กำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะใช้เทคนิค ALD มาสร้างทรานซิสเตอร์จากกราฟีนต่อไป




MIT เคยจัดอันดับให้กราฟีน (Graphene) เป็นหนึ่งในสิบเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ล่าสุดนี้ นักวิจัยจาก MIT ใช้กราฟีนพัฒนาไมโครชิปที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิการะดับ 1 เทราเฮิรตซ์ (THz) หรือ 1,000 กิกะเฮิรตซ์สำเร็จแล้ว ซึ่งชิปแบบกราฟีนตัวนี้จะสามารถเพิ่มความเร็วในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ รวมถึงเพิ่มความเร็วในการขนส่งข้อมูลของโทรศัพท์มือถือได้


ชิปแบบกราฟีนของ MIT เป็นตัวคูณความถี่ที่เร่งความเร็วขึ้นสองเท่าด้วยการใช้ทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว ทำให้ชิปตัวนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าที่น้อยกว่าชิปแบบซิลิกอนทั่วๆไปแต่ให้ความเร็วที่สูงกว่ามากๆ และหากติดตั้งตัวคูณความถี่ของชิปตัวนี้หลายๆตัวแบบอนุกรมแล้ว ก็จะทำให้เราได้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว โดยในทางปฏิบัติจริง ชิปแบบกราฟีนตัวนี้จะให้ความเร็วในช่วงตั้งแต่ 500 กิกะเฮิรตซ์ ถึง 1,000 กิกะเฮิรตซ์

หากย้อนไปที่ข่าวปี 2006 ทีมวิจัยจากไอบีเอ็มและจอร์เจียเทคเองก็เคยประสบความสำเร็จในการสร้างชิปแบบซิลิกอนที่เพิ่ม germanium ทำให้ได้ความเร็ว 500 กิกะเฮิรตซ์ที่อุณหภูมิ 8 องศาเหนือศูนย์สมบูรณ์ (อ้างอิงจากข่าวเก่า) อย่างไรก็ตาม ทางทีมวิจัยเองเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถพัฒนาชิปตัวนี้ให้ได้ความเร็ว 1 เทราเฮิรตซ์ที่อุณหภูมิห้อง



สรุปได้ว่า
กราฟีน (graphene) ซึ่งเป็นคาร์บอนแผ่นบางๆที่มีความหนาเพียงหนึ่งอตอม อาจเข้ามาแทนที่ซิลิกอนที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ โดยเราอาจเห็นกราฟีนถูกนำไปใช้ในชิพคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงหรือเซ็นเซอร์ แบบชีวะเคมี (biochemical sensors)



ที่มา/ต้นฉบับ - SoftSailer http://www.softsailor.com/news/1029-mit-researchers-develop-graphene-based-microchip-that-can-operate-at-1000ghz.html
และ MIT http://web.mit.edu/newsoffice/2009/graphene-palacios-0319.html

ที่มาเพิ่มเติม
- ฟิสิกส์เว็บ http://physicsweb.org/articles/news/11/6/19/1
- Preprint ของบทความวิชาการต้นฉบับหาได้จาก http://arxiv.org/abs/0704.3487
- วิชาการดอทคอม

แหล่งค้นคว้าเพิ่มเติม
- http://en.wikipedia.org/wiki/Graphene
- Physics World November 2006 http://physicsweb.org/articles/world/19/11/7/1

บทนำบทความ ที่มา : ดร.สุทัศน์ ยกส้าน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รอยสักติดทน? ลึก0.6-22มม.หมึกกระจายทั่วเนื้อเยื่อ อนุภาคใหญ่เกินร่างกายขับออกได้ทั้งชีวิต แพทย์สักเพื่อกลบรอยหลังปลูกผม http://bit.ly/9GcCTn

รอยสัก อยู่นานแค่ไหน??

"รอยสัก ” (Tattoo) เป็นศิลปะของการเสริมความงามอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมานับพันปี ตั้งแต่สมัยกรีกโรมันอียิปต์ และจีนโบราณ และปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมของคนทุกชนชาติ

“รอยสัก” ตามศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า “แทตทู” หมายถึง “การตีหรือการเคาะ” ซึ่งเกิดจากการสักด้วยเครื่องสัก หรืออาจใช้เข็มซึ่งมีด้ายร้อยเคลือบสีอยู่ แทงผ่านตามตำแหน่งที่ต้องสักลงไปที่ผิวหนัง เป็นต้น

ปัจจุบันการการสักพัฒนาไปมาก เครื่องมือที่เป็นที่นิยมที่สุดเป็นเข็มที่ใช้มอเตอร์ในการทำให้ขยับแทงในผิวหนังลึกระหว่าง0.6-22 มิลลิเมตร เมื่อแทงลงไปหมึกจะแพร่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อ ดูดซึมเก็บสะสมไว้ โอกาสที่จะเปิดปฏิกิริยาที่เป็นเชิงลบจากหมึกที่ใช้สักมีน้อยมาก โดยปกติแล้วสิ่งแปลกปลอมจะถูกขจัดจากร่างกายโดยใช้กลไกป้องกันตามธรรมชาติ แต่อนุภาคของหมึกนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะถูกขจัดออกไปด้วยกลไกนี้ได้

การสักในปัจจุบันได้พัฒนาโดยใช้วัสดุปลายติดกับเครื่องไฟฟ้า และสักสีลงไปในชั้นใต้ผิวหนัง ผู้สักจะใช้วิธีจุ่มเข็มชุบสี สีที่ใช้เป็นพวกที่เข้ากลุ่มของโลหะซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
จุดประสงค์ ของการสักผิวหนังมีหลายอย่างเช่นการบ่งบอก วัฒนะธรรมทางสังคม ความอยากเด่นอยากดัง เชื่อว่าการสักร่างกายเป็นการป้องกันภัยได้อย่างหนึ่ง ในปัจจุบันการสักร่างกายเกิดจากความพอใจต้องการให้มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม ตำแหน่งที่นิยมสักคือสะดือ สะโพก และอวัยวะเพศ ภาพที่ใช้สักมักจะเป็นรูปปลา รูปมังกรดอกไม้และลวดลายศิลปต่าง ๆซึ่งมีความหมาย สวยงาม

สำหรับประโยชน์ทางการแพทย์ในการสัก ใช้ในการกลบโรครอยด่างขาว การสักลงไปในช่องว่างระหว่างผมหลังการปลูกผมเพื่อให้ดูมีผมดกดำขึ้นหลังจากปลูกถ่ายผม หรือการสักบริเวณขอบตาและหัวคิ้วเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาขนร่วงบริเวณดังกล่าว เป็นต้น

อันตรายจากการสักมักทำให้เกิดการติดเชื้อโรคชนิดต่างๆเช่น วัณโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรียและปฏิกิริยาจากสีซึ่งสักลงไปปัจจุบันใช้สารที่นิยมใช้เป็นสีหลายชนิดมักเป็นโลหะหนัก เช่น สารปรอท แร่เหล็ก แร่โคบอลด์ เป็นต้น สารเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาบางอย่างโดยเฉพาะสารสีแดงของโลหะจะพบได้บ่อยที่สุด

การลบรอยสัก ทำได้2วิธี คือการผ่าตัดและการใช้กรดไนตริดหรือ กรดซัลฟูริกกำจัดรอยสักเหล่านี้ออกจากผิวหนังได้หลังจากลบรอยสักแล้วผู้ป่วยต้องดูแลแผลตามคำแนะนำ ของแพทย์ใช้เวลาประมาณ 7-10วัน ถ้าแผลไม่อักเสบไม่ว่าจะเป็น “การสัก”หรือ ลบรอยสักก็ตาม ขอให้อยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ

ที่มา : กองสุขศึกษา http://www.thaihed.com/
วิกิฯ การสัก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%81
 


Geek Science ได้มีการถกประเด็นนี้ไว้
How do tattoos last for so long in the skin?

Asked by Bruce, California

We put this to Neil Walker, consultant dermatologist in Oxford
 
Tattoos by definition are permanent marks produced on the skin by the injection of the material by a puncturing. As a dermatologist, I see a variety of tattoos, not any of those which have been applied by a so-called tattoo artist, either a professional or amateur, sober or drunk. Occasionally, I see people who’ve had a black kind of tattoo, where a dye called PPD is used, which can cause nasty skin reactions.


Appropriately applied henna tattoo is not a tattoo at all. Rather, it’s a drying process using the paste to produce a design in the dead outer layers of the skin. The design fades as the skin regenerates and that is one of clues as to why tattoos applied by puncturing are permanent. Our skin is continually regenerating as the outer layers or epidermis grows from basal cells at the bottom to a dead hole-y layer at the top over a period of six to eight weeks.

Pigments implanted beneath the growing layer are in the dermis or supporting layer of the skin and are not removed by the natural process of skin turnover. The body recognizes pigment granules as foreign material and there are cells whose function is to remove such material by engulfing them and transporting it to the lymph glands. These cells are unable to engulf pigment granules every certain size and, therefore, the body seem to surround them at their microscopic level by a thin layer of fibrous or scar tissue. And they become permanently trapped in the dermis.

The removal process continues slowly and tattoos may fade to a degree over time with different colours fading at different rates depending on the particle size of the pigment. In summary, tattoos are permanent because pigment particles are injected under the growing layer of the skin and the body’s mechanisms for dealing with foreign materials can't remove the particles over a certain size.

(กำลังแปลและปรับปรุงเนื้อหา-28/07/53)
วัยรุ่นกับรอยสัก (รพ.ยันฮี) http://www.yanhee.co.th/2007/knowledge.php?knowID=66#
ผู้หญิง..ที่มีรอยสัก.Tattoo มากที่สุดในโลก และได้รับบันทึกไว้ใน กินเนส บุ๊ค 2011..
เพื่อลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากโรคประจำตัวชนิดหนึ่ง http://www.oknation.net/blog/khox/2010/06/28/entry-1



ข้อมูลเพิ่มเติม :
ว้าวว... รอยสักพิสูจน์รักแท้
 
"แอนดี้ ชีสแมน" ชายชาวเมืองนอร์ฟอล์ก ทางตะวันออกของเกาะอังกฤษซึ่งปัจจุบันอายุปาเข้าไป 49 ปีแล้วที่อุตส่าห์พิสูจน์ความรักที่มีอยู่เต็มห้องหัวใจเพื่อหวังให้ "แอนเน็ต ลอว์" หญิงสาวที่ตนเองรักได้ประจักษ์แก่สายตา โดยการลงทุน "สัก" ชื่อของ "แอนเน็ต" ลงบนท่อนแขนของเขาเองเมื่อ 32 ปีก่อน(ช่วงนั้นแอนดี้อายุราวๆ 17 ปี)


แต่น่าเสียดายที่สาวเจ้ายังไม่ทันได้เห็น "รอยสักพิสูจน์รักแท้"ทั้งสองก็มีอันต้องสวมคอนเวิร์สแยกกันไปคนละทิศคนละทางเสียก่อน กระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 20 ปีต่างฝ่ายต่างผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2 ครั้ง กว่าที่แอนดี้และแอนเน็ต จะเป็นอิสระและได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งในงานรวมรุ่นเพื่อนเก่า  ที่มา : กระปุกดอทคอม http://hilight.kapook.com/view/8897


สัก (tattoo)... ความปลอดภัยที่ต้องคำนึง


ผู้เขียนทราบจาก history of tattoo ว่ามีนักวิทยาศาสตร์บางคนกล่าวว่า รอยสักปรากฏ ในร่างกาย ของมัมมี่ ๓๓๐๐ ปี ก่อนคริสตศักราช บางแห่งก็ว่า มีในร่างกาย ของมัมมี่ ในอียิปต์ และ นูเบียน ๒๐๐๐ ปี ก่อนคริสต ศักราช ดังนี้ เป็นต้น ชาวกรีก และ บรรพบุรุษ ของชาว เยอรมัน, ชาวกอลส์ (ยุโรปตะวันตก ในยุคโบราณ รวมทั้งทางตอนเหนือ ของอิตาลี ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และทางใต้ ของเนเธอร์แลนด์) ชาวอังกฤษ โบราณ ก็มีรอยสักเช่นเดียวกัน แต่สำหรับ คริสเตียนแล้ว รอยสักกลับเป็น สิ่งต้องห้าม ในแถบยุโรป ส่วนในญี่ปุ่น สักเพื่อแสดง ความเป็นสมาชิกในแก๊ง ทางตะวันตกถือการสัก เป็นศิลปะ อย่างหนึ่ง เพื่อความสวยงาม


ในส่วนของกะลาสีเรือแล้ว รอยสักกลับเป็นที่นิยม ตั้งแต่สมัย กัปตันคุก ในปีคริสตศักราช ๑๗๐๐ กว่านั้น รอยสัก นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ดึงดูดใจ ของทหารเรือมาแล้ว

การสักไม่ง่ายอย่างที่คิด และต้องทนเจ็บไม่น้อยเลย ผู้ปรารถนา รอยสักบนผิวหนัง ก็ไม่กลัว สามารถ ทนเจ็บได้ หากเป็นรอยสักใหญ่ ต้องใช้เวลาสักนาน หลายชั่วโมงก็ยังยอม
อ่านต่อ (สารอโศก อันดับที่ ๒๕๑ สิงหาคม ๒๕๔๕) http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Sanasoke/sa251/131.html

" รอยสัก " สักตรงไหนเจ็บตรงนั้น


ถ้าผมอยากมีรอยสักสวยๆสักอันที่แขนซ้าย ผม ก็ลงมือให้ช่างสัก บรรจงเอาเข็มมาทิ่มแทงอย่างกระหน่ำที่แขนซ้ายของผมได้อย่างเต็มที่ ความเจ็บปวดมันก็จะอยู่ที่ตรงแขนซ้ายเท่าั้นั้น ไม่ว่าุณจะเลือกสักที่มาบุญครอง สวนจตุจักร หรือแม้กะทั่งท่สะพานพุทธ คุณก็จะเจ็บที่แขนซ้ายเท่านั้น (เอ๊ะ มุขนี้ตามกันทันไหมนี่)

แต่กับ ความรัก ไม่ ว่าคุณจะูอยู่ที่ไหน ไม่ว่าคุณจะกุมมือซ้ายหรือมือขวาของเขาเอาไว้ ไม่ว่าคุณกำลังจะทำอะไร แต่ถ้าคุณถูกปฎิเสธจากเขามาเมื่อไหร่ ความเจ็บปวดมันจะมาอยู่ " หน้าอกข้างซ้าย " ที่เดียวเท่านั้น ซึ่งก็ไมรู้ว่าทำไม



" รอยสัก " ลบได้ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ยันฮีเอย , ร.พ.บางมดเอย สมัยนี้เขาลบรอยสักได้อย่างแนบเนียนไม่มีล่องรอยของแผลเป็นแล้ว และที่สำคัญ " เจ็บน้อยกว่าตอนสักอีก " หายเป็นปริดทิ้งไม่หลงเหลือล่องรอยที่ติดทนนานได้อย่างเกลี้ยงเกลา เหมาะสำหรับคนที่มีรอยสักที่ฝังแน่น และอยากที่จะลบทิ้งมันไป แต่สำหรับ " ความรัก " ไม่มีเทคฯที่ทันสมัยชนิดไหน ที่มาลบมันออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา มันยังติดทนนานและไม่มีทีท่าว่าจะจางลงไปซะด้วยสิ  และคงมีเพียง " เวลา " เท่านั้นแหละ ที่สามารถลบมันออกไปได้ แต่จะนานเท่าไหร่ล่ะ ?
อ่านต่อ http://lovesicklifesuck.blogspot.com/2009/05/blog-post_31.html

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รถเข็นช็อปปิ้งช็อต? อากาศเย็น รองเท้ายางเสียดสีพื้นกระเบื้องยาง เกิดไฟฟ้าสถิตย์ จับโลหะเกิดคายประจุจึงช็อต เสื้อผ้าถูเบาะรถจับประตูก็ช็อตได้

เคยไหม รถเข็นในห้างมันช็อตเรา??



พอเอารถเข็นมาจับที่ตรงตระแกรงเหล็ก มันก็ช็อต ไม่เอะใจอะไร คงเพราะอากาศเย็น เราคิดไปเอง สักพักจับอีก ก็โดนช็อตอีก แล้วไฟมันมาจากไหนไม่มีสายไฟ

ไฟฟ้าในรถเข็นนั้นไม่มี มีที่ตัวเรา เรียกว่า ไฟฟ้าสถิตย์ (Electro Static) เกิดขึ้นจากการที่เราเดินในห้างที่อากาศเย็น(อากาศแห้ง) แล้วประกอบกับการใส่รองเท้ายางเดินบนพื้นกระเบื้องยาง ซึ่งทั้งสองสิ่งมีคุณสมบัติเป็นฉนวน เวลาเดินจะเกิดการเสียดสีกับพื้น จึงการเกิดไฟฟ้าสถิตย์ เหมือนการทดลองตอนเรียนชั้นประถมศึกษา ที่คุณครูให้เรานำไม้บรรทัดพลาสติกมาถูๆกับเส้นผมเรา แล้วเอาไปดูดเศษกระดาษ จะสังเกตุว่าเศษกระดาษ ติดไม้บรรทัด ซึ่งเป็นกรณีเดียวกัน ยิ่งท่านเดินลากพื้นมากเท่าไรไฟฟ้าในตัวก็จะมากขึ้น พอไปจับรถเข็นที่ส่วนที่เป็นโลหะ ก็จะเกิดการถ่ายเทพลังงานจากมือเราไปสู่รถเข็น เลยทำให้เรารู้สึก แปล็บๆ เหมือนถูกไฟช็อตตอนจับโลหะครับ

ดังนั้น หากเกิดไฟฟ้าสถิตย์อันเนื่องมาจากการเสียดสีที่มากพอ เมื่อไปจับส่วนที่เป็นโลหะ หรือสื่อนำไฟฟ้าชนิดใดก็ได้ ก็จะเกิดการคายประจุอย่างรวดเร็วเสมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนไฟดูด



ในกรณีเดียวกัน เรานั่งขับรถบนเบาะที่เป็นฉนวน เสื้อผ้าเสียดสีไปกับเบาะสักระยะ แล้วเผลอไปจัดขอบประตูรถ ก็แปล็บๆ ช็อตได้เช่นเดียวกัน


 
 
ที่มา : วิทยาศาสตร์ใกล้ตัว, หนังสือ. ยาฮูรอบรู้
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ไม่มีโบอิ้ง717?? ทำเป็นเครื่องฯเติมน้ำมันใช้รุ่นKC-135ของทอ.แทน ควบกิจการกับMcDonnell Douglasจึงนำรุ่นMD-95เป็น717แทน ผลิตแค่156ลำ ไทยมี1ฝูง

ทำไมไม่มี โบอิ้ง 717


ผู้ที่นิยมชมชอบเครื่องบิน หรือโดยสารเครื่องบินเป็นประจำ เคยสงสัยไหมว่า บริษัทผู้สร้างเครื่องบินไอพ่นโบอิ้ง 707,727,737,747,757,767และล่าสุด 777 ของอเมริกา แต่ทำไมกลับไม่มีโบอิ้ง 717





ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องโบอิ้ง 717 นั้นมี เพียงแต่คนทั่วไปไม่ทราบ เพราะโบอิ้ง 717 ไม่ใช่เครื่องบินโดยสาร มันเป็นเครื่องบินเติมน้ำมัน ในยุค 40 ของศตวรรษที่ 20 บริษัทโบอิ้งในอเมริกาได้ร่วมกับฝ่ายกองทัพ ออกแบบเครื่องบินทิ้งระเบิด 2 รุ่นคือ B-47 และ B-52 พร้อมกับเริ่มศึกษาเครื่องบินขนส่งไอพ่น แต่น่าเสียดายที่โครงการของบริษัทไม่ได้รับการสานต่อให้ลุล่วง สาเหตุเพราะว่าบริษัทโบอิ้ง ไม่กล้าผลิตออกมาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า จนกระทั่งในปี ค.ศ.1952 เครื่องบินไอพ่น"คอมมิท(Comit)"ของอังกฤษกระโจนเข้าสู่ธุรกิจการบิน เหตุนี้บริษัทโบอิ้งจึงเร่งศึกษาค้นคว้า สร้างเครื่องบินโดยสารไอพ่นต้นแบบด้วยทุนของบริษัทเอง หมายเลขเครื่องผลิตภัณฑ์ลำแรกคือ 707 เป้าหมายการออกแบบเป็นได้ทั้งเครื่องบินพลเรือน และเครื่องบินเติมน้ำมัน เครื่องบินไอพ่นโบอิ้ง 707 ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1954 และวันที่ 14 กันยายนในปีเดียวกันนั้น ทางบริษัทก็ได้เซ็นสัญญาผลิตเครื่องบินเติมน้ำมันรุ่น KC-135 ให้กับกองทัพอากาศ ซึ่งเลขที่การเรียงลำดับสินค้าภายในบริษัทไปตรงกับเครื่องโบอิ้ง 717 ฉนั้น เครื่องบินโดยสารของบริษัทจึงไม่มีหมายเลข 717.




B-717 เป็นรุ่นที่พูดกันถึงน้อยที่สุด แต่เมื่อดูจำนวนผลิตแค่ 156 เครื่อง ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเป็นรุ่นที่ได้มาพร้อมกับการที่ไปควบรวมบริษัท แมคโดนัล ดักกลาส ที่ลองบีช เมื่อปี 1995 (2538) ซึ่งก็คือ "MD-95" (McDonnell Douglas as the MD-95, a third-generation derivative of the DC-9) เป็นรุ่นการผลิตล็อตสุดท้ายของแมคโดนัล ดักกลาส ปี 1997 จึงใช้รุ่น 717 แทน MD-95 จำหน่ายเป็นเครื่องบินโดยสาร






ที่มา : http://members.tripod.com/craigs_airlines/boeing717.htm
Fact & True B717 http://www.aviationexplorer.com/717_facts.htm
ฝูงบินตกยุค http://www.oknation.net/blog/print.php?id=185566
ข้อมูลเสริม : http://commons.wikimedia.org/wiki/Boeing_717
Boeing 717 Airliner  http://www.amazingpaperairplanes.com/Boeing717.htm
เพิ่มเติม http://www.thaitransport-photo.net/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=80
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

จอห์น ลาร์สัน อ้างความดันเลือดเปลี่ยนถ้าโกหก เกิด"เครื่องจับเท็จ"ขึ้นมา ปี 1931 ลิโอนาร์ด คีเลอร์ พัฒนาจนขายได้ ซึ่งศาลไม่ยอมรับเป็นหลักฐาน

เครื่องจับเท็จ (Polygraph Lie Detector)




ปิ๊ง! จากความเชื่อ นายจอห์น ลาร์สัน (John Larson) เป็นบุคคลที่มีความเชื่อเรื่องปฏิกิริยาผันแปร ของร่างกายมนุษย์ เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น หนึ่งในสิ่งผิดปกติของเขาก็คือ? การโกหก? บุคคลผู้โกหกย่อมมีความดันโลหิตที่เปลี่ยนไป จังหวะการเต้นและลมหายใจกระชั้นขึ้นในขณะตอบคำถาม ดังนั้น เขาจึงทำการคิดประดิษฐ์ ?เครื่องจับเท็จ? (polygraph lie detector) ขึ้นมา จนสำเร็จเป็นเครื่องแรกในปี ค.ศ. 1921


ต่อมานายลิโอนาร์ด คีเลอร์ (Leonard Keeler) นักอาชญวิทยานำ เครื่องประดิษฐ์อันแรกมาปัดฝุ่น พัฒนาประสิทธิภาพให้มีมากขึ้น แล้วจดทะเบียนสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1931 จากนั้นก็ผลิตเป็นสินค้าออกจำหน่าย และมีการนำไปใช้ในวงการตำรวจ เพื่อตรวจสอบคำให้การอย่างแพร่หลาย แต่อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ยอมรับให้เป็นหลักฐานประกอบการไต่สอน จึงนับเป็น สิ่งประดิษฐ์ที่เป็น? ศิลปะ? อย่างหนึ่งเท่านั้น

 
 
ศาลได้มีความเห็นต่อเครื่องจับเท็จไว้ว่า
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๖๕/๒๕๐๒ วินิจฉัยว่า เครื่องจับเท็จยังไม่แน่นอนเด็ดขาดที่ศาลยุติธรรมจะฟังเป็นที่ยุติได้ ดังนั้นความเห็นของผู้ที่มาเบิกความด้วยเครื่องจับเท็จ จึงยังมีข้อโต้แย้ง ไม่อาจถือว่าเป็นผู้ชำนาญการพิเศษที่จะรับฟังเป็นพยานได้
(พรีเซนเตชั่นฉบับเต็ม http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:7e3KnJW61B8J:www.dmsc.moph.go.th/webroot/trang/WEB%2520KM/km_2.ppt+%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88+%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th )



ความเห็นจาก DSI
สำหรับเครื่องจับเท็จแบบไม่สัมผัสนั้นดีเอสไอได้ใช้งานมากว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าได้ผลในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสืบสวน อาทิ คดีก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เนื่องจากความเชื่อของศาสนาอิสลามซึ่งถือเรื่องการพูดปด


ดังนั้น เครื่องจับเท็จจึงช่วยได้มาก ส่วนประเด็นเรื่องพยานหลักฐานจากเครื่องจับเท็จจะมีน้ำหนักให้ศาลรับฟังมากน้อยแค่ไหนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานดังกล่าวเพียงอย่างเดียว เพราะการไต่สวนของศาลยังมีพยานหลักฐานอื่นที่ต้องพิจารณาประกอบกันด้วย แต่ยืนยันว่าเครื่องมือจับเท็จเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกอยู่แล้ว อ่านเต็มๆ http://atnnonline.com/Science-Technology-NEWS/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84-%E0%B8%A1.%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B9%8C.html


คมชัดลึก :จะมีเครื่องมืออะไรที่สามารถบอกถึง "ความในใจ" ที่ซ่อนอยู่ลึกในใจคนได้ดีไปกว่า "เครื่องจับเท็จ" ที่ช่วยภารกิจด้านสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง ของตำรวจกับผู้ร้ายที่แฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ขณะเดียวกันก็ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของผู้ต้องสงสัยได้อีกด้วย
เนคเทคนำเทคโนโลยีไอทีเข้ามาช่วยในรูปแบบซอฟต์แวร์ช่วยสืบสวนสอบสวน โดยวิเคราะห์และประมวลผลจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น อุณหภูมิใบหน้า หลังจากใช้เวลาศึกษาและปรับแต่งโปรแกรมอยู่ 3 ปี ทีมวิจัยได้ซอฟต์แวร์ต้นแบบชื่อ "เทด" (Thermal Analyzer for Deceptive Detection : TAD) ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังทดสอบประสิทธิภาพอยู่

“งานวิจัยดังกล่าวเกิดจากโจทย์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มองหาเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้แก่ผู้ต้องหา ปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ ถ้าเราทำสำเร็จ ถือว่าเป็นครั้งแรกของโลก” ดร.ศรัณย์ กล่าว... อ่านเต็มๆ http://www.komchadluek.net/detail/20100117/44882/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87...%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2.html


 
 
 
ที่มาและข้อมูลเพิ่มเติม
คลื่นวิทย์-เทคโนฯ : ศาสตร์และศิลป์ของเครื่องจับเท็จ  http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=725
มาจับเท็จเครื่องจับเท็จกันดีไหม?  http://gotoknow.org/blog/thanyasak/182659
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฟ้าผ่าลงน้ำปลาโดนไฟดูด?? ถ้าอยู่ใกล้ผิวน้ำก็โดน กระแสไฟฯกระจายตัวตามผิวน้ำ ปลามีปฏิกิริยาทางกล้ามเนื้อที่รู้จึงรีบหลบ และนำไฟฟ้าน้อยกว่าคน

ทำไมปลาจึงไม่ถูกไฟดูดตายเวลามีฟ้าผ่าลงที่ผิวน้ำ??


ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าทำให้ปลาถูกไฟดูดเหมือนกันถ้ามันอยู่ใกล้จุดที่ฟ้าผ่ามากๆ อย่างไรก็ตาม กระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่ามักกระจายตัวไปตามผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับเป็นการปกป้องสัตว์น้ำทั้งหลายตามกลไกธรรมชาติ เหตุผลอีกอย่างที่ทำให้เราไม่เห็นปลาตายเป็นแพหลังฟ้าผ่าเนื่องจากฟ้าไม่ค่อยผ่าลงบริเวณผิวน้ำ

ปลามีปฏิกิริยาทางกล้ามเนื้ออัตโนมัติเวลามีกระแสไฟฟ้าอยู่ในน้ำ ทำให้ปลารีบว่ายหนีไปยังทิศทางที่ปลอดภัย นอกจากนี้ ตัวปลายังเป็นสื่อนำไฟฟ้าน้อยกว่ามนุษย์และน้ำ โดยเฉพาะเมื่อเป็นน้ำเค็มหรือโคลน อย่างไรก็ตาม สำหรับมนุษย์ หากเห็นพายุเริ่มตั้งเค้าก็ควรอยู่ให้ไกลจากแหล่งน้ำทั้งหลาย กิจกรรมที่จัดว่าอันตรายที่สุดเวลาเกิดพายุฝนฟ้าคะนองคือการพายเรือ ตกปลา และว่ายน้ำ



จริงหรือไม่ที่ฟ้าไม่เคยผ่าซ้ำที่เดิม??




"ไม่จริงแน่นอน" เดวิด ฟิลลิปส์ นักอุตุนิยมวิทยาอาวุโสแห่งศูนย์อุตุนิยมวิทยาแคนาดา กล่าว และเสริมว่า "เป็นความเชื่อที่มีมายาวนานว่าถ้าสิ่งใดถูกฟ้าผ่าแล้วครั้งหนึ่งจะไม่ถูกผ่าอีกครั้ง"

ตึกสูง หอส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ รวมถึงยอดภูเขาสูงมีแนวโน้มจะถูกฟ้าผ่าหลายครั้งทุกปี ตัวอย่างเช่น ซีเอ็นทาวเวอร์ในเมืองโทรอนโตของแคนาดา คาดว่าถูกฟ้าผ่า 75 ถึง 150 ครั้งต่อปี

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายพื้นที่ซึ่งเกิดฟ้าผ่าบ่อยที่เรียกว่าจุดยอดนิยม โดยเกิดจากอากาศอุ่นชื้นและอากาศเย็นมาปะทะกันเสมอจึงก่อให้เกิดความแปรปรวน


 
 
 
 


ที่มา : หนังสือ วิทยาศาสตร์น่ารู้ ชุด รู้ไว้ไช่ว่า พ.ศ. 2550
นิตยสารรีดเดอร์ไดเจสต์ พ.ค. 2549
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

คิดได้ไง?? ปี1911การแข่ง Indy500 ปกติต้องขับคันละ2คน แต่นายรอย ฮาร์โรน อยากขับคนเดียว ถูกประท้วง เลยทำกระจกส่องหลังแทนคนบอกทาง และเขาชนะเลิศ

กระจกส่องหลัง


เรื่องมีอยู่ว่า ในการแข่งรถ "อินดี้ 500" (indy 500) เมื่อปี ค.ศ.1911 มีรถเข้าลงทะเบียนแข่งขัน 40 คัน ปกติแล้ว การแข่งขันจะต้องมีผู้อยู่ในรถ 2 คน


คือ คนขับ และช่างเครื่อง ซึ่งทำหน้าที่คอยดูข้างหลังช่วยคนขับด้วย แต่นายรอย ฮาร์โรน (Roy Harroun) ลงทะเบียนเข้าแข่งเพียงผู้เดียว จึงถูกผู้ร่วมแข่งขันคนอื่น ๆ ประท้วงด้วยเหตุผลที่ว่า ขับคนเดียวนั้นไม่ปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่น เพราะไม่มีใครช่วยดูข้างหลังให้

ฮาร์โรนแก้ปัญหาการประท้วงครั้งนี้ ด้วยการทำกระจกเป็นปพิเศษติดที่รถของเขา ฮาร์โรนเรียกกระจกนี้ว่า "กระจกส่องหลัง" (rear-view mirror) ซึ่งทำหน้าที่สะท้อนภาพข้างหลังให้เห็น แทนผู้ช่วยบอกทาง ในที่สุดกรรมการก็อนุญาตให้เขาลงแข่งขันได้ ผลปรากฏว่า ฮาร์โรนใช้เวลาในการขับรถแข่งเพียง 6 ชั่วโมง 42 นาที เขาคือผู้ชนะเลิศเข้าสู่เส้นชัยเป็นคนแรก

การแก้ปัญหาครั้งนี้้้้้้้้้ของเขา นำมาสู่การปรับเปลี่ยนโฉมหน้ารถครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้มีกระจกส่องหลังมาจนทุกวันนี้
 
 
 
ที่มา : รอบรู้เรื่องรถยนต์อินดี้ ,หนังสือ ,พ.ศ. 2548
เว็บไซต์เผยแพร่ : วิชาการดอทคอม http://www.vcharkarn.com/varticle/40223
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

น้ำตาลทรายไม่เสีย?? มีความชื้นเพียง 0.02% น้ำระเหยเร็วกว่าจุลินทรีย์ก่อเชื้อราจึงขาดน้ำ(dehydration) และเปลี่ยนแปลงทางเคมีน้อยมาก จึงไม่เสีย

ทำไมเราสามารถ เก็บน้ำตาลได้นานมาก โดยที่มันไม่เคยเน่า ไม่เคยเสีย ไม่เคยมีราขึ้นใด ๆ ทั้งสิ้น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น




อันที่จริงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถย่อยน้ำตาลได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกว่าทำไมน้ำตาลกลับไม่เน่าเสียง่ายเหมือนกับแป้งหรืออาหารประจำครัวอื่นๆ ทั้งนี้เพราะว่าน้ำตาลมีค่าความชื้นเป็นองค์ประกอบอยู่น้อยเหลือเกิน คือประมาณ 0.02 เปอร์เซนต์เท่านั้น ซึ่งทำให้ จุลินทรีย์อันเป็นตัวก่อเชื้อราตกอยู่ในสภาวะขาดน้ำ (dehydration) คำอธิบายมีว่า โมเลกุลของน้ำจะแพ่รกระจายออกจากจุลินทรีย์ในอัตราความเร็วสูงกว่าที่มันจะซึมเข้า ดังนั้นในที่สุดจุลินทรีย์ ก็จะตายลงเพราะขาดน้ำในร่างกาย นอกจากนี้ค่าความชื้นที่ต่ำมากของน้ำตาลยังเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงทางเคมีใดๆ อันก่อให้เกิดการเน่าเสียอย่างไรก็ตามถ้าละลายน้ำตาลในน้ำ ยิ่งสารละลายน้ำตาลเจือจางมากเท่าใด โอกาสที่ราและยีสต์จะเกิดขึ้นยิ่งมีมากเท่านั้น การปล่อยให้น้ำตาลถูกอากาศที่มีความชื้นสูงเพียงสองสามวัน ก็ทำให้น้ำตาลดูดรับความชื้นได้มากพอต่อการเจริญเติบโตของรา ด้วยเหตุนี้การเก็บน้ำตาลไว้ในภาชนะที่กันอากาศเข้าจะช่วยชะลอการดูดความชื้นแม้ในสภาวะอากาศชื้น ยิ่งถ้าเก็บรักษาน้ำตาลไว้ในบรรยากาศที่อุณหภูมิและความชื้นคงที่ ซึ่งช่วยให้น้ำตาลสามารถรักษาระดับค่าความชื้นที่ 0.02 เปอร์เซนต์ไว้ได้ น้ำตาลจะคงสภาพดีไม่มีวันหมดอายุเลย



 
ที่มา : หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี
โรงงานน้ำตาลไทยกาญจนบุรี : http://www.thaisugarmill.com/index.php?lang=th&ds=health_detail-view&id=Zp1rgaDmyW3GsPU2
เว็บไซต์เผยแพร่ : สนุกกูรู http://bit.ly/cPacrp
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ตาเหล่คือ?? เกิดจากกล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการกลอกตา มัดใดมัดหนึ่งอ่อนกำลังลง กล้ามที่แข็งแรง เลยดึงลูกตาให้เอียงไป ตาส่อน(เหล่น้อย)หน้าจะดูหวาน

ตาเหล่เกิดจากอะไร??

คนที่เกิดมาตาเหล่น้อยๆ หรือที่เรียกว่า "ตาส่อน" นั้นก็ดูหวานดี ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงยิ่งดูน่ารักใหญ่แต่ถ้าส่อนมากๆ จนถึงขั้นเหล่ก็จะ กลายเป็นปมด้อยของเจ้าตัวไป ทำให้ไม่อยากจะสบตาใครเอาเสียเลย บางคนเห็นเพื่อนตาเหล่ ก็ประดิษฐ์สำนวนมาค่อนตนตาเหล่ว่า ตาไม่สามัคคีกัน คือตาซ้ายมองไปทางโน้น ตาขวากลับมองมาทางนี้ เวลาเข้าห้องสอบ ถ้าคนคุมสอบเป็นคนตาเหล่ พวกนักเรียนที่คิดจะแอบดูคำตอบกันมักจะวุ่นวายใจ เพราะไม่รู้ว่าคนคุมมองไปทางไหนแน่ พวกหมอบอกว่าอาการตาเหล่นั้น เกิดจากกล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการกลอกตา มัดใดมัดหนึ่งอ่อนกำลังลง กล้ามเนื้อที่ยังแข็งแรงดีอยู่ ก็เลยดึงลูกตาให้เอียงไป




ที่มา: หนังสือเรื่อง ความรู้ทั่วไป เล่ม 2 โดย สุเมธ สง่าลี และน้องสร้าง
จาก http://www.thaihp.com/
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต