รากไม้..งอกหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างไร?
ราก คือ อวัยวะของพืชที่ไม่มีข้อ ปล้อง ตา และใบ จะเจริญลงสู่ดินตามแรงดึงดูดของโลก ขณะที่รากพืชเติบโตและแผ่ขยายใต้ดินนั้น มันจะค้นหาเส้นทางใต้ดินเช่นเดียวกับคนคลำทางในความมืด เมื่อเจอสิ่งกีดขวางก็จะหลบได้ เพราะในรากพืช มีวงจรเคมีสั่งการอยู่ วงจรเคมีที่ว่านี้ คือการสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งอยู่ที่ปลายราก ซึ่งมันสามารถสร้างรากอิสระที่กระตุ้นการดูดซึมแคลเซี่ยมจากดินได้ และยิ่งดูดซึมแคลเซี่ยมมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างโปรตีนมาก และหมุนเวียนเป็นวงจรมากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อรากพืชไปเจอกับสิ่งกีดขวาง การดูดซึมแคลเซี่ยมก็จะหยุดลง รากก็จะเลื้อยและเติบโตไปในทิศทางอื่นแทน!!
ต้นฉบับ จากข่าวโมเดิร์นไนน์ http://variety.mcot.net/vdo756
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--
ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเกษตร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเกษตร แสดงบทความทั้งหมด
วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ไก่บินไกลแค่ไหน?? มีการแข่งขันที่โอไฮโอ้ USA เมื่อ 21 พ.ค. 1977 ไก่ชื่อ Kung Flewk บินได้ไกลถึง 90.57 เมตร ไก่ไทยบินสั้นเพราะไม่ได้แข่งบิน
ไก่บินได้ ไกลแค่ไหน??
หากใครมาถามเราว่า ไก่บินได้ไกลแค่ไหน ก็คงจะตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า อย่างมากก็ไปได้ไม่ไกลเกิน 5 เมตร เพราะทุกครั้งที่มันขยับปีกบิน อย่างไกลที่สุดก็เหมือนกันมันกระโดดจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่ง แม้ปีกของมันจะออกแรงตีพึบพั๊บขนาดไหนก็ตาม
แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ จากสถิติของสมาคมแข่งขันไก่บินนานาชาตินั้นไม่ได้บอกว่า ไก่บินได้แค่ระยะทางอย่างที่เราคิดเสียแล้ว แต่แชมเปี้ยนที่ทำสถิติสูงสุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ระบุว่า ไก่ชื่อ Kung Flewk สามารถบินได้ไกลถึง 297 ฟุต หรือ 90.57 เมตรทีเดียว ไม่ใช่บินใกล้ ๆ อย่างที่นึกเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ตั้งสมาคมแข่งขันไก่บินระดับนานาชาติให้เสียชื่อ "ไก่" ใช่ไหม
อ้อ..เกือบลืมบอกไป สถานที่แข่งขันกันครั้งนั้น อยู่ที่ Rio Grande รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1977
ที่มา : นิตยสารเรียนดี. ปี 2 ฉบับที่ 8.
เพิ่มเติม : ไก่ : ความเชื่อล้านนา http://www.thainews70.com/news/news-culture-sanon/view.php?topic=329
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
หากใครมาถามเราว่า ไก่บินได้ไกลแค่ไหน ก็คงจะตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า อย่างมากก็ไปได้ไม่ไกลเกิน 5 เมตร เพราะทุกครั้งที่มันขยับปีกบิน อย่างไกลที่สุดก็เหมือนกันมันกระโดดจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่ง แม้ปีกของมันจะออกแรงตีพึบพั๊บขนาดไหนก็ตาม
แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ จากสถิติของสมาคมแข่งขันไก่บินนานาชาตินั้นไม่ได้บอกว่า ไก่บินได้แค่ระยะทางอย่างที่เราคิดเสียแล้ว แต่แชมเปี้ยนที่ทำสถิติสูงสุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ระบุว่า ไก่ชื่อ Kung Flewk สามารถบินได้ไกลถึง 297 ฟุต หรือ 90.57 เมตรทีเดียว ไม่ใช่บินใกล้ ๆ อย่างที่นึกเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ตั้งสมาคมแข่งขันไก่บินระดับนานาชาติให้เสียชื่อ "ไก่" ใช่ไหม
อ้อ..เกือบลืมบอกไป สถานที่แข่งขันกันครั้งนั้น อยู่ที่ Rio Grande รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1977
ที่มา : นิตยสารเรียนดี. ปี 2 ฉบับที่ 8.
เพิ่มเติม : ไก่ : ความเชื่อล้านนา http://www.thainews70.com/news/news-culture-sanon/view.php?topic=329
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เสาทำไมตกน้ำมัน?? ไม้บางชนิด เช่น วงศ์ไม้ยาง ตะเคียน เต็ง รัง มีท่อยางเรียกกัมดักต์(gum duct) หรือกัมคาแนล(gum canal) เมื่อร้อน จะมียางออกมา
เสาตกน้ำมัน...อาถรรพ์หรือมันเป็นเช่นนั้นเอง
บางคนกลัวเสาตกน้ำมันชนิดไม่ยอมอยู่ในบ้านนั้นเลยทีเดียว เพราะเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าเป็นเสาที่มีวิญญาณสิงสถิตอยู่
ก่อนจะโทษผีว่าเป็นสาเหตุ ลองมาดูเหตุผลด้านวิทยาศาสตร์กันสักหน่อย
ภาวะที่ทำให้เกิดเสาตกน้ำมันหรือไม้ตกน้ำมัน ความจริงก็ไม่ได้เกิดกับไม้ทุกชนิด จะมีไม้บางชนิดเท่านั้นที่ตกน้ำมันได้และเป็นลักษณะเด่นของไม้นั้น เช่น ไม้ในวงศ์ไม้ยาง อย่างไม้ตะเคียนทอง ไม้ตะเคียนชันตาแมว ไม้ไผ่เขียว ไม้เต็ง ไม้รัง ฯลฯ ไม้เหล่านี้จะมี ท่อน้ำยางหรือกัมดักต์ (gum duct) หรือกัมคาแนล (gum canal) ในภาษาอังกฤษ เมื่อเรานำไปใช้งานในลักษณะที่ถูกความร้อน บางครั้งน้ำยางในท่อก็จะถูกหลอมเหลวออกมา จึงดูเหมือนไม้ตกน้ำมัน ซึ่งความจริงคือการตกน้ำยางนั่นเอง
เสาตกน้ำมันอันที่จริงคือลักษณะตามธรรมชาติของเนื้อไม้บางประเภทเท่านั้นเองครับ ปล่อยผีอยู่ส่วนผีเถิด อย่าไปอ้างแกเลย
ที่มา : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
วิชาการดอทคอม, ห้องสมุดวิทยพัฒน์
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็
บางคนกลัวเสาตกน้ำมันชนิดไม่ยอมอยู่ในบ้านนั้นเลยทีเดียว เพราะเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าเป็นเสาที่มีวิญญาณสิงสถิตอยู่
ก่อนจะโทษผีว่าเป็นสาเหตุ ลองมาดูเหตุผลด้านวิทยาศาสตร์กันสักหน่อย
ภาวะที่ทำให้เกิดเสาตกน้ำมันหรือไม้ตกน้ำมัน ความจริงก็ไม่ได้เกิดกับไม้ทุกชนิด จะมีไม้บางชนิดเท่านั้นที่ตกน้ำมันได้และเป็นลักษณะเด่นของไม้นั้น เช่น ไม้ในวงศ์ไม้ยาง อย่างไม้ตะเคียนทอง ไม้ตะเคียนชันตาแมว ไม้ไผ่เขียว ไม้เต็ง ไม้รัง ฯลฯ ไม้เหล่านี้จะมี ท่อน้ำยางหรือกัมดักต์ (gum duct) หรือกัมคาแนล (gum canal) ในภาษาอังกฤษ เมื่อเรานำไปใช้งานในลักษณะที่ถูกความร้อน บางครั้งน้ำยางในท่อก็จะถูกหลอมเหลวออกมา จึงดูเหมือนไม้ตกน้ำมัน ซึ่งความจริงคือการตกน้ำยางนั่นเอง
เสาตกน้ำมันอันที่จริงคือลักษณะตามธรรมชาติของเนื้อไม้บางประเภทเท่านั้นเองครับ ปล่อยผีอยู่ส่วนผีเถิด อย่าไปอ้างแกเลย
ที่มา : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
วิชาการดอทคอม, ห้องสมุดวิทยพัฒน์
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็
วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
กบ-จิ้งหรีดร้องทำไมหลังฝนตก?? ฝนตกน้ำไปท่วมรูที่มันอยู่ ทำให้ต้องออกมาตะเบงเสียง ซึ่งร้องกันตลอดเป็นปกติ แต่ฝนหยุดเสียงเงียบเราจึงได้ยินกัน
ทำไมกบ จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก?
ท่านที่อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ จะสังเกตได้ว่าฝนตกเมื่อไหร่ก็ตามจะได้ยินเสียงกบ จิ้งหวีด และสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆพากันร้องประสานเสียงกันระเบ็งเซ็งแซ่ไปทีเดียวเรื่องนี้คงมีคนสงสัยกันบ้างละว่าการร้องของกบและจิ้งหวีดไปเกี่ยวอะไรกับฝน
ความเชื่อที่ว่าจิ้งหรีดหรือกบร้องเฉพาะเวลาฝนตกหรือหลังฝนตกไม่ใช่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ดูเหมือนว่าพ้องกันข้อเท็จจริงก็คือเมื่อเกิดฝนตกน้ำฝนจะไหลท่วมรูที่กบและจิ้งหรีดอาศัยอยู่ทำให้พวกมันต้องออกมาข้างนอกและทำกิจกรรมที่ตามปกติจะทำในรูหรือในที่กำบัง เช่น หาอาหาร ผสมพันธุ์เป็นต้น จนดูเหมือนว่าฝนเป็นปัจจัยที่ทำให้กบหรือจิ้งหรีดส่งเสียงร้องความจริงเป็นการส่งเสียงตามปกติอยู่แล้ว แต่เราสามารถได้ยินด้วยก็เท่านั้นเองนอกจากนั้นความเงียบของโลกหลังฝนตกเป็นเหตุผลเสริมอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้ยินเสียงของสรรพชีวิตได้ดีเป็นพิเศษ
สรุปแล้วเป็นเรื่องของจิตใจและสัญชาตญาณของสัตว์โลกครับ สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณและความรู้สึกนึกคิดคล้ายกับเราที่เป็นมนุษย์เหมือนกันสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันโดยมีความจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวเสริม
ที่มา บทความเรื่อง ทำไมกบ จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก? วิทยาศาสตร์รอบตัวจาก สสวท
คัดลอกจาก ศูนย์แบ่งปันความรู้ ม.น.ข
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ท่านที่อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ จะสังเกตได้ว่าฝนตกเมื่อไหร่ก็ตามจะได้ยินเสียงกบ จิ้งหวีด และสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆพากันร้องประสานเสียงกันระเบ็งเซ็งแซ่ไปทีเดียวเรื่องนี้คงมีคนสงสัยกันบ้างละว่าการร้องของกบและจิ้งหวีดไปเกี่ยวอะไรกับฝน
ความเชื่อที่ว่าจิ้งหรีดหรือกบร้องเฉพาะเวลาฝนตกหรือหลังฝนตกไม่ใช่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ดูเหมือนว่าพ้องกันข้อเท็จจริงก็คือเมื่อเกิดฝนตกน้ำฝนจะไหลท่วมรูที่กบและจิ้งหรีดอาศัยอยู่ทำให้พวกมันต้องออกมาข้างนอกและทำกิจกรรมที่ตามปกติจะทำในรูหรือในที่กำบัง เช่น หาอาหาร ผสมพันธุ์เป็นต้น จนดูเหมือนว่าฝนเป็นปัจจัยที่ทำให้กบหรือจิ้งหรีดส่งเสียงร้องความจริงเป็นการส่งเสียงตามปกติอยู่แล้ว แต่เราสามารถได้ยินด้วยก็เท่านั้นเองนอกจากนั้นความเงียบของโลกหลังฝนตกเป็นเหตุผลเสริมอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้ยินเสียงของสรรพชีวิตได้ดีเป็นพิเศษ
สรุปแล้วเป็นเรื่องของจิตใจและสัญชาตญาณของสัตว์โลกครับ สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณและความรู้สึกนึกคิดคล้ายกับเราที่เป็นมนุษย์เหมือนกันสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันโดยมีความจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวเสริม
ที่มา บทความเรื่อง ทำไมกบ จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก? วิทยาศาสตร์รอบตัวจาก สสวท
คัดลอกจาก ศูนย์แบ่งปันความรู้ ม.น.ข
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ดื่มน้ำกีวีทำไมฉี่บ่อยจัง?? มีวิตามินซีมากกว่าส้ม 2 เท่า กากใยมากกว่าแอปเปิ้ล มีโปรตสเซียม ให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ThkQ to @yokekung
“กีวีฟรุต” ผลไม้รสดีมีคุณค่า
“กีวีฟรุต” (Kiwifruit) หลายๆ คนรู้จักกันว่าเป็นผลไม้จากประเทศนิวซีแลนด์ แต่ที่จริงแล้วกีวีฟรุตมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน แต่ได้พัฒนาให้กลายเป็นผลไม้เศรษฐกิจโดยประเทศนิวซีแลนด์และเริ่มปลูกเป็นการค้ามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 ในประเทศไทยเองก็มีการทดลองปลูกอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ พบว่าบางพันธุ์ก็ออกดอกติดผลดี แต่คงต้องมีการพัฒนาต่อไปอีก
หน้าตาของกีวีฟรุตดูคล้ายลูกละมุดสีน้ำตาลแต่มีขนขึ้นตามเปลือก ผลภายในมีสีเขียวอ่อนหรือสีเหลืองทองขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ซึ่งเนื้อในผลกีวีนี้ก็ให้ประโยชน์มากมาย โดยกีวีมีวิตามินซีมากกว่าส้ม 2 เท่า กากใยก็มากกว่าแอปเปิ้ล นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปรตสเซียม จึงมีส่วนช่วยลดความดันเลือด ลดความเครียดและความอ่อนเพลีย ทั้งยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นด้วย
กีวีนั้นมีสารประกอบที่สำคัญคือวิตามินซี ที่ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ช่วยลบเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง และสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย ส่วนโพแทสเซียมช่วยให้ระบบการย่อยอาหารเป็นปกติ ลดความดันโลหิต สวๆ บางคนนำกีวีมาปั่นผสมกับน้ำผึ้งพอกบนผิวหน้า ช่วยลบรอยจุดด่างดำบนใบหน้า เพิ่มความขาวใสให้แก่ผิวได้ด้วย
ที่มา อ่าน @yokekung ทวีตเมื่อ 15.05 น. "ทำไมดื่มน้ำกีวีปั่น แล้วฉี่บ่อยจัง"
ที่มา : http://www.meesara.com/ มีสาระดอทคอม
กีวี http://www.siya.ac.th/websiya/final5800/final5830/keevee.html
เครื่องดื่มสุขภาพ น้ำกีวี http://www.yourhealthyguide.com/Menu/mj-givi.htm
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
หน้าตาของกีวีฟรุตดูคล้ายลูกละมุดสีน้ำตาลแต่มีขนขึ้นตามเปลือก ผลภายในมีสีเขียวอ่อนหรือสีเหลืองทองขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ซึ่งเนื้อในผลกีวีนี้ก็ให้ประโยชน์มากมาย โดยกีวีมีวิตามินซีมากกว่าส้ม 2 เท่า กากใยก็มากกว่าแอปเปิ้ล นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโปรตสเซียม จึงมีส่วนช่วยลดความดันเลือด ลดความเครียดและความอ่อนเพลีย ทั้งยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นด้วย
กีวีนั้นมีสารประกอบที่สำคัญคือวิตามินซี ที่ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ช่วยลบเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง และสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย ส่วนโพแทสเซียมช่วยให้ระบบการย่อยอาหารเป็นปกติ ลดความดันโลหิต สวๆ บางคนนำกีวีมาปั่นผสมกับน้ำผึ้งพอกบนผิวหน้า ช่วยลบรอยจุดด่างดำบนใบหน้า เพิ่มความขาวใสให้แก่ผิวได้ด้วย
ที่มา อ่าน @yokekung ทวีตเมื่อ 15.05 น. "ทำไมดื่มน้ำกีวีปั่น แล้วฉี่บ่อยจัง"
ที่มา : http://www.meesara.com/ มีสาระดอทคอม
กีวี http://www.siya.ac.th/websiya/final5800/final5830/keevee.html
เครื่องดื่มสุขภาพ น้ำกีวี http://www.yourhealthyguide.com/Menu/mj-givi.htm
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ไวน์ขาวทำจากองุ่นดำ? น้ำองุ่นทุกพันธุ์ ถ้าไม่ขาวใส ก็ออกเหลืองนิดๆ(ลองบีบดู) ส่วนไวน์แดง ไม่ได้เกิดจากการเติมสี เป็นสีจากหมักเปลือกองุ่น
ไวน์ขาวทำจากองุ่นดำได้อย่างไร?
คนส่วนใหญ่ประหลาดใจเมื่อได้ทราบว่าไวน์ขาวได้มาจากองุ่นดำ เป็นไปได้อย่างไรกัน? เอาละ แรกสุด องุ่นดำไม่ได้ดำสนิทเหมือนถ่าน องุ่นดำบางพันธุ์มีสีน้ำเงินดำ ส่วนใหญ่มักจะเป็นสีแดงเข้ม ยังตอบคำถามไม่ได้ใช่ไหมครับ? ไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์
หากใครมีองุ่นดำในตู้เย็น( ถ้าไม่มีก็ต้องบึ่งรถไปซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต ) ลองบีบองุ่นด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ จับตามองน้ำองุ่นที่ไหลออกมาให้ดี
ประหลาดใจใช่ไหมครับ?
น้ำองุ่นพันธุ์ใดๆ ถ้าไม่ขาวใส ก็ออกเหลืองนิดๆ
ไวน์แดงเลิศรส ไม่ได้สีทับทิมจากการเจือสีแต่อย่างใด สีแดงเข้มได้จากการหมักเปลือกองุ่น หากไม่มีเปลือกองุ่นเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว ไวน์ขาวทำจากองุ่นสีใดๆ ได้ทั้งสิ้น แม้แต่เชมเปญก็มีบางส่วนที่ทำจากองุ่นดำ
ที่มา: ไขปริศนาเพี้ยนในชีวิตประจำวัน เขียนโดย: David Feldman แปลโดย: นพดล เวชสวัสดิ์
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
รอบรู้เรื่องไวน์ : http://pirun.ku.ac.th/~b5003268/G.html
คนส่วนใหญ่ประหลาดใจเมื่อได้ทราบว่าไวน์ขาวได้มาจากองุ่นดำ เป็นไปได้อย่างไรกัน? เอาละ แรกสุด องุ่นดำไม่ได้ดำสนิทเหมือนถ่าน องุ่นดำบางพันธุ์มีสีน้ำเงินดำ ส่วนใหญ่มักจะเป็นสีแดงเข้ม ยังตอบคำถามไม่ได้ใช่ไหมครับ? ไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์
หากใครมีองุ่นดำในตู้เย็น( ถ้าไม่มีก็ต้องบึ่งรถไปซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต ) ลองบีบองุ่นด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ จับตามองน้ำองุ่นที่ไหลออกมาให้ดี
ประหลาดใจใช่ไหมครับ?
น้ำองุ่นพันธุ์ใดๆ ถ้าไม่ขาวใส ก็ออกเหลืองนิดๆ
ไวน์แดงเลิศรส ไม่ได้สีทับทิมจากการเจือสีแต่อย่างใด สีแดงเข้มได้จากการหมักเปลือกองุ่น หากไม่มีเปลือกองุ่นเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว ไวน์ขาวทำจากองุ่นสีใดๆ ได้ทั้งสิ้น แม้แต่เชมเปญก็มีบางส่วนที่ทำจากองุ่นดำ
ที่มา: ไขปริศนาเพี้ยนในชีวิตประจำวัน เขียนโดย: David Feldman แปลโดย: นพดล เวชสวัสดิ์
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
รอบรู้เรื่องไวน์ : http://pirun.ku.ac.th/~b5003268/G.html
"วาซาบิ" เผ็ดและฉุนแต่ช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ ลดฟันผุ มีสาร Isothiocyanate(ITCs) ยับยั้งการเจริญเติบโตของเอ็นไซน์ก่อหินปูน มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้
วาซาบิ (wasabi) เพื่อสุขภาพ
ถ้าบอกว่ามีสีเขียวทั้งเผ็ดและฉุนขึ้นจมูก ใช้รับประทานคู่กับปลาดิบ คุณคงต้องนึกถึงวาซาบิเป็นแน่ บางคนอาจจะร้องยี้ด้วยไม่ชอบรสชาติของมัน แต่รู้หรือไม่ว่าในความฉุนหรือเผ็ดนั้นมีคุณประโยชน์แฝงอยู่มากมาย
สารในวาซาบิที่ให้รสเผ็ดและกลิ่นฉุนนั้น มีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญเติบโต ของจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ และยังพบสาร Isothiocyanate (ITCs) ซึ่งมีส่วนช่วยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเอ็นไซม์ ที่ก่อให้เกิดหินปูนบนฟัน และยังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งที่ปอด ลำไส้ใหญ่ ตับ หลอดอาหารและเต้านม อีกด้วย
ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสารใกล้หมอ Health Well- being ปีที่ 31 ฉบับที่ 2 เดือนมีนาคม 2550
"วาซาบิ" : http://th.wikipedia.org/wiki/วาซาบิ
"ระบบข้อมูลพืชผัก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ : วาซาบิ" : http://www.agricprod.mju.ac.th/vegetable/File_link/wasabi.pdf
"วาซาบิมีประโยชน์ต่อสุขภาพ" : http://www.thaiclinic.com/thaiclinicnews/news_wasabi.html
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ถ้าบอกว่ามีสีเขียวทั้งเผ็ดและฉุนขึ้นจมูก ใช้รับประทานคู่กับปลาดิบ คุณคงต้องนึกถึงวาซาบิเป็นแน่ บางคนอาจจะร้องยี้ด้วยไม่ชอบรสชาติของมัน แต่รู้หรือไม่ว่าในความฉุนหรือเผ็ดนั้นมีคุณประโยชน์แฝงอยู่มากมาย
"ต้นวาซาบิ"
สารในวาซาบิที่ให้รสเผ็ดและกลิ่นฉุนนั้น มีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญเติบโต ของจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ และยังพบสาร Isothiocyanate (ITCs) ซึ่งมีส่วนช่วยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเอ็นไซม์ ที่ก่อให้เกิดหินปูนบนฟัน และยังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งที่ปอด ลำไส้ใหญ่ ตับ หลอดอาหารและเต้านม อีกด้วย
ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสารใกล้หมอ Health Well- being ปีที่ 31 ฉบับที่ 2 เดือนมีนาคม 2550
"วาซาบิ" : http://th.wikipedia.org/wiki/วาซาบิ
"ระบบข้อมูลพืชผัก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ : วาซาบิ" : http://www.agricprod.mju.ac.th/vegetable/File_link/wasabi.pdf
"วาซาบิมีประโยชน์ต่อสุขภาพ" : http://www.thaiclinic.com/thaiclinicnews/news_wasabi.html
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
"บรั่นดี(brandy)" มาจาก "brandewijn"ภาษาดัตช์ แปลว่า"burnt wine"การให้ความร้อนแก่เหล้าองุ่นเพื่อกลั่น ถ้าจากผลไม้อื่นเรียกบรั่นดีผลไม้นั้น
บรั่นดี (brandy) คืออะไร
"บรั่นดี (brandy)" นั้น มาจากคำว่า "brandewijn" ซึ่งเป็นภาษาดัตช์ (Dutch) แปลว่า "burnt wine" ซึ่งหมายถึงการให้ความร้อนแก่เหล้าองุ่นเพื่อกลั่น ดังนั้น บรั่นดีจึงเป็นสุราชนิดแรงที่กลั่นจากเหล้าองุ่น แต่ถ้าเป็นชนิดที่กลั่นจากน้ำผลไม้อื่นๆ หลังจากการหมักแล้วก็เรียกว่า บรั่นดีผลไม้ (fruit brandy) เช่น apple brandyทำจากแอปเปิ้ล peach brandy ทำจากพีช เป็นต้น
คุณภาพของบรั่นดีขึ้นอยู่กับ คุณภาพของเหล้าองุ่นที่นำมากลั่น, กรรมวิธีที่ใช้ในการกลั่น, และที่สำคัญทีสุดก็คือการเลือกชนิดไม้ที่ใช้ทำถังเพื่อเก็บบ่มบรั่นดี หลังจากกลั่นแล้ว ซึ่งการเก็บบ่มสุราไว้ในถังไม้ที่เหมาะสมเป็นเวลานานปี จะเป็นการทำลายสารพิษต่างๆ เช่น fusel oils ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกรรมวิธีการผลิตและเจือปนอยู่ในสุราให้หมดไปอีกด้วย
บรั่นดีที่นิยมกันว่าเป็นชนิดที่ดีที่สุด คือ บรั่นดีที่ผลิตจากเมืองคอนยัก (Cognac) และเมืองอาร์มายัก (Armagnac) ประเทศฝรั่งเศส และ เรียกชื่อบรั่นดีนี้ตามชื่อเมือง บรั่นดีทั้ง 2 ชนิดนี้ผู้ผลิตจะเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก เป็นเวลาหลายๆ ปี ส่งผลให้สารแทนนินส์ (tannins) ที่มีอยู่ในเนื้อไม้ ละลายลงไปในบรั่นดีทำให้มีสีเหลืองอำพัน และทำให้มีกลิ่นหอม สำหรับบรั่นดีที่มีคุณภาพต่ำนั้น ผู้ผลิตจะเติมสารคาโรเมล (caromel) ลงไป
เพื่อทำให้บรั่นดีมีสีเหลือง และเติมวานิลลา (vanilla) ลงไปเพื่อปรุงกลิ่นสำหรับบรั่นดีที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก ซึ่งฉาบผิวด้วยขี้ผึ้งพาราฟิน (paraffin) หรือเก็บบ่มไว้ในภาชนะดินเผาจะมีลักษณะใสไม่มีสี
บรั่นดีและสุราชนิดอื่นๆ เมื่อบรรจุขวดแล้วไม่ว่าจะเก็บไว้นานสักเท่าใด ก็ไม่มีผลทำให้คุณภาพดีขึ้นไปกว่าก่อนบรรจุขวด
ที่มา : หนังสือวิทยาศาสตร์น่ารู้ (ชุดที่1 80เรื่อง) โดย ดร.บุญพฤกษ์ จาฏามระ
http://us.geocities.com/zoneubon/cocktail.htm
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.oknation.net/blog/xcornellian/2009/05/02/entry-4/comment
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
"บรั่นดี (brandy)" นั้น มาจากคำว่า "brandewijn" ซึ่งเป็นภาษาดัตช์ (Dutch) แปลว่า "burnt wine" ซึ่งหมายถึงการให้ความร้อนแก่เหล้าองุ่นเพื่อกลั่น ดังนั้น บรั่นดีจึงเป็นสุราชนิดแรงที่กลั่นจากเหล้าองุ่น แต่ถ้าเป็นชนิดที่กลั่นจากน้ำผลไม้อื่นๆ หลังจากการหมักแล้วก็เรียกว่า บรั่นดีผลไม้ (fruit brandy) เช่น apple brandyทำจากแอปเปิ้ล peach brandy ทำจากพีช เป็นต้น
คุณภาพของบรั่นดีขึ้นอยู่กับ คุณภาพของเหล้าองุ่นที่นำมากลั่น, กรรมวิธีที่ใช้ในการกลั่น, และที่สำคัญทีสุดก็คือการเลือกชนิดไม้ที่ใช้ทำถังเพื่อเก็บบ่มบรั่นดี หลังจากกลั่นแล้ว ซึ่งการเก็บบ่มสุราไว้ในถังไม้ที่เหมาะสมเป็นเวลานานปี จะเป็นการทำลายสารพิษต่างๆ เช่น fusel oils ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกรรมวิธีการผลิตและเจือปนอยู่ในสุราให้หมดไปอีกด้วย
บรั่นดีที่นิยมกันว่าเป็นชนิดที่ดีที่สุด คือ บรั่นดีที่ผลิตจากเมืองคอนยัก (Cognac) และเมืองอาร์มายัก (Armagnac) ประเทศฝรั่งเศส และ เรียกชื่อบรั่นดีนี้ตามชื่อเมือง บรั่นดีทั้ง 2 ชนิดนี้ผู้ผลิตจะเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก เป็นเวลาหลายๆ ปี ส่งผลให้สารแทนนินส์ (tannins) ที่มีอยู่ในเนื้อไม้ ละลายลงไปในบรั่นดีทำให้มีสีเหลืองอำพัน และทำให้มีกลิ่นหอม สำหรับบรั่นดีที่มีคุณภาพต่ำนั้น ผู้ผลิตจะเติมสารคาโรเมล (caromel) ลงไป
"เมื่องคอนยัค ประเทศฝรั่งเศส ที่สุดของบรั่นดี"
เพื่อทำให้บรั่นดีมีสีเหลือง และเติมวานิลลา (vanilla) ลงไปเพื่อปรุงกลิ่นสำหรับบรั่นดีที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก ซึ่งฉาบผิวด้วยขี้ผึ้งพาราฟิน (paraffin) หรือเก็บบ่มไว้ในภาชนะดินเผาจะมีลักษณะใสไม่มีสี
บรั่นดีและสุราชนิดอื่นๆ เมื่อบรรจุขวดแล้วไม่ว่าจะเก็บไว้นานสักเท่าใด ก็ไม่มีผลทำให้คุณภาพดีขึ้นไปกว่าก่อนบรรจุขวด
ที่มา : หนังสือวิทยาศาสตร์น่ารู้ (ชุดที่1 80เรื่อง) โดย ดร.บุญพฤกษ์ จาฏามระ
http://us.geocities.com/zoneubon/cocktail.htm
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.oknation.net/blog/xcornellian/2009/05/02/entry-4/comment
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
เผ็ดแค่ไหน? หน่วยเผ็ดร้อน "สกอลวิลล์" ทดสอบจากสกัดสารพริกผสมแอลกอฮอล์ละลายในน้ำเชื่อม เช่น 4,500สกอวิลล์=ต้องนำไปเจือจาง4,500ครั้งถึงหายเผ็ด / ตรงไหนของพริกเผ็ดที่สุด?? ไม่ไช่เมล็ด แต่คือ "เยื่อแกนกลาง" ที่เมล็ดติดอยู่ เพราะมีสาร "แคปไซซิน" มาก สารนี้่ทำให้พริกมีรสชาติที่แสนเผ็ดร้อน
ส่วนใดของ "พริก" เผ็ดที่สุด
บรรดาพ่อครัวแม่ครัวในโทรทัศน์ทำให้เราเชื่อกันว่า ส่วนที่เผ็ดของพริกอยู่ที่เมล็ดของมัน แต่จริงๆ แล้วไม่ไช่เช่นนั้นเลย
ส่วนที่เผ็ดที่สุดอยู่ตรงบริเวณเยื่อแกนกลางซึ่งมีเมล็ดติดอยู่ เยื่อดังกล่าวมีสารไร้สีและกลิ่นที่ชื่อ "แคปไซซิน" ในปริมาณมาก และก็เป็นสารตัวนี้นี่เองที่ทำให้พริกมีรสชาติที่แสนเผ็ดร้อน
ความเผ็ดร้อนของพริกจะตัดสินกันด้วยมาตรวัดสกอวิลล์ ซึ่งคิดขึ้นในปี 1912 โดย วิลเบอร์ แอล. สกอวิลล์ เภสัชกรชาวอเมริกัน ในช่วงแรกๆ ของการทดสอบ สกอวิลล์นำสารสกัดจากพริกมาละลายในแอลกอฮอล์และเจือจางในน้ำเชื่อม จากนั้นจึงขอให้คณะผู้ทดสอบค่อยๆ ชิมสารละลายพริกที่เจือจางในน้ำน้ำเชื่อมระดับต่างๆ จนกว่าจะหายเผ็ดร้อน ซึ่งก็จะได้ระดับความเผ็ดร้อนของพริกนั้นๆ ออกมา
ตัวอย่าง เช่น พริกฮาลาพานโย มีระดับความเผ็ดร้อน 4,500 สกอวิลล์ เพราะต้องนำไปเจือจาง 4,500 ครั้งก่อนจะสูญเสียความเผ็ดร้อนไป
พริกที่เผ็ดที่สุดในโลกมาจากเขตดอร์เซ็ต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของชาวอังกฤษ พริกดอร์เซ็ต นาคา ของ ไมเคิลและจอย มิซาวด์ (นาคา เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง สัตว์เลื้อยคลาน) พัฒนาสายพันธุ์จากพริกที่ปลูกกันในประเทศบังคลาเทศ
ในปี 2005 พริกชนิดนี้ถูกทดสอบโดยห้องทดลองอเมริกัน 2 แห่ง และได้คะแนนความเผ็ดร้อนสูงถึง 923,000 สกอวิลล์ เรียกได้ว่าแค่ใช้พริกนาคาเพียงครึ่งเม็ดก็ทำให้แกงเผ็ดจนกินไม่ได้แล้ว และการกินเข้าไปทั้งเม็ดจะทำให้คุณต้องเข้าโรงพยาบาลเลยทีเดียว ถึงกระนั้น เมื่อปีที่แล้วพริกนาคาก็ยังคงทำยอดขายได้มากถึง 250,000 เม็ด
เพื่อให้เห็นภาพ สารแคปซินป่นบริสุทธิ์มีระดับความเผ็ดร้อนถึง 15-16 ล้านสกอวิลล์ มันเผ็ดร้อนมากเสียจนบรรดาเภสัชกรที่ทำการทดลองกับมันต้องทำงานใน "ห้องกันสารพิษ" โดยสวมชุดป้องกันเต็มตัว รวมทั้งมีผ้าคลุมศรีษะปิดมิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เผลอสูดหายใจเข้าไป
ปัจจุบันพริกมีอยู่ประมาณ 3.510 ชนิด
พริกบุตโจโลเกีย (Bhut Jolokia) ถูกเรียกขานในหมู่คนท้องถิ่นว่า "พริกผี"
ใช่แล้ว มันคือพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ศาสตราจารย์พอล บอสแลนด์ แห่งสถาบันพริก มหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐนิวเม็กซิโก เป็นผู้ทดสอบและพบว่าบุตโจโลเกียมีความเผ็ดถึง ๑,๐๐๑,๓๐๔ หน่วยสโควิลล์ เผ็ดมากกว่าแชมป์เก่าอย่างพริดเรดซาวีนา ฮาบาเนโร ถึง ๒ เท่า !
พริก บุตโจโลเกียพบมากในดินแดนห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย โดยเฉพาะที่รัฐอัสสัมและนาคาแลนด์ และรัฐอื่น ๆ ใกล้แนวชายแดนติดกับจีนและพม่า เป็นพื้นที่ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ยากจน ทั้งยังเป็นถิ่นฐานของกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่มักทำสงครามสู้รบกับรัฐบาลกลางและต่อสู้กันเองอยู่บ่อย ๆ
พริก ที่เผ็ดที่สุดในโลกมีขนาดยาวประมาณ ๒๕-๓๐ มิลลิเมตร รูปร่างค่อนข้างป้อม เปลือกดูยับย่น ส่วนปลายเรียวแหลม เมื่อแก่จัดจะมีสีส้มหรือสีแดง แม้ว่ามีความเผ็ดถึงล้านหน่วยสโควิลล์ จนคนไม่เคยลองอาจคิดว่ามันเผ็ดร้อนเหมือนไฟนรก ทว่ารสชาติของพริกบุตโจโลเกียเป็นที่คุ้นลิ้นของคนท้องถิ่น ชาวรัฐอัสสัมกินพริกบุตโจโลเกียกันมานาน ทั้งเอามาทำซอสพริก พริกดอง หรือแม้แต่กินสด ๆ ขณะที่ทางนาคาแลนด์ ชาวบ้านกินพริกบุตโจโลเกียกันแทบทุกมื้ออาหาร
ที่มา : หนังสือลบเหลี่ยมไอน์สไตน์ ISBN 974-616-7164-04-5 หน้า 109-110
จอห์น ลอยด์ และ จอห์น มิชชินสัน เขียน พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ แปล
ที่มาเพิ่มเติม : http://www.societybit.com/bbs/viewthread.php?tid=234&extra=page%3D1
วิกิฯ พริก : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81
รูปภาพประกอบเรื่องจากอินเตอร์เน็ต
บรรดาพ่อครัวแม่ครัวในโทรทัศน์ทำให้เราเชื่อกันว่า ส่วนที่เผ็ดของพริกอยู่ที่เมล็ดของมัน แต่จริงๆ แล้วไม่ไช่เช่นนั้นเลย
ส่วนที่เผ็ดที่สุดอยู่ตรงบริเวณเยื่อแกนกลางซึ่งมีเมล็ดติดอยู่ เยื่อดังกล่าวมีสารไร้สีและกลิ่นที่ชื่อ "แคปไซซิน" ในปริมาณมาก และก็เป็นสารตัวนี้นี่เองที่ทำให้พริกมีรสชาติที่แสนเผ็ดร้อน
ความเผ็ดร้อนของพริกจะตัดสินกันด้วยมาตรวัดสกอวิลล์ ซึ่งคิดขึ้นในปี 1912 โดย วิลเบอร์ แอล. สกอวิลล์ เภสัชกรชาวอเมริกัน ในช่วงแรกๆ ของการทดสอบ สกอวิลล์นำสารสกัดจากพริกมาละลายในแอลกอฮอล์และเจือจางในน้ำเชื่อม จากนั้นจึงขอให้คณะผู้ทดสอบค่อยๆ ชิมสารละลายพริกที่เจือจางในน้ำน้ำเชื่อมระดับต่างๆ จนกว่าจะหายเผ็ดร้อน ซึ่งก็จะได้ระดับความเผ็ดร้อนของพริกนั้นๆ ออกมา
ตัวอย่าง เช่น พริกฮาลาพานโย มีระดับความเผ็ดร้อน 4,500 สกอวิลล์ เพราะต้องนำไปเจือจาง 4,500 ครั้งก่อนจะสูญเสียความเผ็ดร้อนไป
พริกที่เผ็ดที่สุดในโลกมาจากเขตดอร์เซ็ต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของชาวอังกฤษ พริกดอร์เซ็ต นาคา ของ ไมเคิลและจอย มิซาวด์ (นาคา เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง สัตว์เลื้อยคลาน) พัฒนาสายพันธุ์จากพริกที่ปลูกกันในประเทศบังคลาเทศ
ในปี 2005 พริกชนิดนี้ถูกทดสอบโดยห้องทดลองอเมริกัน 2 แห่ง และได้คะแนนความเผ็ดร้อนสูงถึง 923,000 สกอวิลล์ เรียกได้ว่าแค่ใช้พริกนาคาเพียงครึ่งเม็ดก็ทำให้แกงเผ็ดจนกินไม่ได้แล้ว และการกินเข้าไปทั้งเม็ดจะทำให้คุณต้องเข้าโรงพยาบาลเลยทีเดียว ถึงกระนั้น เมื่อปีที่แล้วพริกนาคาก็ยังคงทำยอดขายได้มากถึง 250,000 เม็ด
เพื่อให้เห็นภาพ สารแคปซินป่นบริสุทธิ์มีระดับความเผ็ดร้อนถึง 15-16 ล้านสกอวิลล์ มันเผ็ดร้อนมากเสียจนบรรดาเภสัชกรที่ทำการทดลองกับมันต้องทำงานใน "ห้องกันสารพิษ" โดยสวมชุดป้องกันเต็มตัว รวมทั้งมีผ้าคลุมศรีษะปิดมิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เผลอสูดหายใจเข้าไป
ปัจจุบันพริกมีอยู่ประมาณ 3.510 ชนิด
พริกบุตโจโลเกีย (Bhut Jolokia) ถูกเรียกขานในหมู่คนท้องถิ่นว่า "พริกผี"
ใช่แล้ว มันคือพริกที่เผ็ดที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ศาสตราจารย์พอล บอสแลนด์ แห่งสถาบันพริก มหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐนิวเม็กซิโก เป็นผู้ทดสอบและพบว่าบุตโจโลเกียมีความเผ็ดถึง ๑,๐๐๑,๓๐๔ หน่วยสโควิลล์ เผ็ดมากกว่าแชมป์เก่าอย่างพริดเรดซาวีนา ฮาบาเนโร ถึง ๒ เท่า !
พริก บุตโจโลเกียพบมากในดินแดนห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย โดยเฉพาะที่รัฐอัสสัมและนาคาแลนด์ และรัฐอื่น ๆ ใกล้แนวชายแดนติดกับจีนและพม่า เป็นพื้นที่ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ยากจน ทั้งยังเป็นถิ่นฐานของกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่มักทำสงครามสู้รบกับรัฐบาลกลางและต่อสู้กันเองอยู่บ่อย ๆ
พริก ที่เผ็ดที่สุดในโลกมีขนาดยาวประมาณ ๒๕-๓๐ มิลลิเมตร รูปร่างค่อนข้างป้อม เปลือกดูยับย่น ส่วนปลายเรียวแหลม เมื่อแก่จัดจะมีสีส้มหรือสีแดง แม้ว่ามีความเผ็ดถึงล้านหน่วยสโควิลล์ จนคนไม่เคยลองอาจคิดว่ามันเผ็ดร้อนเหมือนไฟนรก ทว่ารสชาติของพริกบุตโจโลเกียเป็นที่คุ้นลิ้นของคนท้องถิ่น ชาวรัฐอัสสัมกินพริกบุตโจโลเกียกันมานาน ทั้งเอามาทำซอสพริก พริกดอง หรือแม้แต่กินสด ๆ ขณะที่ทางนาคาแลนด์ ชาวบ้านกินพริกบุตโจโลเกียกันแทบทุกมื้ออาหาร
ที่มา : หนังสือลบเหลี่ยมไอน์สไตน์ ISBN 974-616-7164-04-5 หน้า 109-110
จอห์น ลอยด์ และ จอห์น มิชชินสัน เขียน พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ แปล
ที่มาเพิ่มเติม : http://www.societybit.com/bbs/viewthread.php?tid=234&extra=page%3D1
วิกิฯ พริก : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81
รูปภาพประกอบเรื่องจากอินเตอร์เน็ต
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ปลาส้มเป็นต้นกำเนิดซูชิ? หมักจากข้าวและปลา คล้ายกับ“ฟุนะซูชิ”ซูชิดั้งเดิมของญี่ปุ่นมาก นักวิจัยพบว่ามาจากAsean อดีตเสียTaxแพงเข้าญปจริง
ปลาส้มเป็นต้นกำเนิดซูชิ
ปลา ส้มเป็นอาหารหมักทำจากข้าวและปลา ซึ่งคล้ายกับ “ฟุนะซูชิ” ซูชิแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นมาก นักวิจัยญี่ปุ่นหลายคนค้นคว้าและสำรวจ เรื่องต้นกำเนิดของซูชิมานานแล้ว พบว่าอาหารหมักแบบปลาส้ม มักทำกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว หรือทางตอนใต้ของจีน นักวิจัยเชื่อว่าอาหารประเภทนี้ เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับวัฒนธรรมการทำนา ปลูกข้าวตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ “ฟุนะซูชิ” และพัฒนามาเป็นซูชิในปัจจุบัน
กว่าปลาส้มจะมาเป็นซูชิ
ในอดีตก่อนคริสตกาล อาหารหมักแบบปลาส้ม จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับ วัฒนธรรมการทำนาปลูกข้าว จนกลายมาเป็น “ฟุนะซูชิ” ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานทั่วประเทศญี่ปุ่น จากเอกสารสมัยนาระ พบว่า “ฟุนะซูชิ” เป็นอาหารที่มีราคาแพงมักใช้จ่ายเป็นภาษี แต่เดิมไม่นิยมรับประทานข้าวที่ใช้หมักปลา กระทั่งสมัยมูโรมาจิ “ซูชิ” เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น เริ่มมีคนรับประทานข้าวที่ใช้หมักเพราะความเสียดาย แล้วพบว่าข้าวที่ใช้หมักนั้นซึมซับ ความอร่อยของปลาที่หมักเป็นอย่างดี ตั้งแต่นั้นมาการกินข้าวกับปลาหมักก็เป็นที่นิยมจนทำให้ “ซูชิ” เป็นอาหารที่มีชื่อเสียง
สมัยเอโดะ ชาวเอโดะไม่สามารถทนรอปลาที่ต้องใช้เวลาหมักนานได้ จึงใช้ “น้ำส้มสายชู” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหารที่ทำจากการหมักข้าว นำมาคลุกเคล้ากับข้าว จนได้รสชาดเช่นเดียวกับการหมักปลากับข้าว ทำให้เกิด “ซูชิ” ซึ่งทำจากข้าวคลุกน้ำส้มสายชู กับปลาจนเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน
ที่มา : ไทยเลิร์นเนอร์, TTOPUP , วิชาการดอทคอม
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ปลาส้ม ณ สยาม
เหตุ ที่บอกได้ว่าปลาส้มเป็นต้นกำเนิดซูชิ
ปลา ส้มเป็นอาหารหมักทำจากข้าวและปลา ซึ่งคล้ายกับ “ฟุนะซูชิ” ซูชิแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นมาก นักวิจัยญี่ปุ่นหลายคนค้นคว้าและสำรวจ เรื่องต้นกำเนิดของซูชิมานานแล้ว พบว่าอาหารหมักแบบปลาส้ม มักทำกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว หรือทางตอนใต้ของจีน นักวิจัยเชื่อว่าอาหารประเภทนี้ เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับวัฒนธรรมการทำนา ปลูกข้าวตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ “ฟุนะซูชิ” และพัฒนามาเป็นซูชิในปัจจุบัน
กว่าปลาส้มจะมาเป็นซูชิ
ในอดีตก่อนคริสตกาล อาหารหมักแบบปลาส้ม จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับ วัฒนธรรมการทำนาปลูกข้าว จนกลายมาเป็น “ฟุนะซูชิ” ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานทั่วประเทศญี่ปุ่น จากเอกสารสมัยนาระ พบว่า “ฟุนะซูชิ” เป็นอาหารที่มีราคาแพงมักใช้จ่ายเป็นภาษี แต่เดิมไม่นิยมรับประทานข้าวที่ใช้หมักปลา กระทั่งสมัยมูโรมาจิ “ซูชิ” เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น เริ่มมีคนรับประทานข้าวที่ใช้หมักเพราะความเสียดาย แล้วพบว่าข้าวที่ใช้หมักนั้นซึมซับ ความอร่อยของปลาที่หมักเป็นอย่างดี ตั้งแต่นั้นมาการกินข้าวกับปลาหมักก็เป็นที่นิยมจนทำให้ “ซูชิ” เป็นอาหารที่มีชื่อเสียง
สมัยเอโดะ ชาวเอโดะไม่สามารถทนรอปลาที่ต้องใช้เวลาหมักนานได้ จึงใช้ “น้ำส้มสายชู” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหารที่ทำจากการหมักข้าว นำมาคลุกเคล้ากับข้าว จนได้รสชาดเช่นเดียวกับการหมักปลากับข้าว ทำให้เกิด “ซูชิ” ซึ่งทำจากข้าวคลุกน้ำส้มสายชู กับปลาจนเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน
ที่มา : ไทยเลิร์นเนอร์, TTOPUP , วิชาการดอทคอม
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
กินผักบุ้งตาจะสวย? มีสารมีผลกับสุขภาพตาในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ชนิดเบต้าแคโรทีน ช่วยเรื่องการมองเห็นหรือสายตา ลูทีนกับซีเอแซนทีน เสริมตาเสื่อมช้า
กินผักบุ้งตาจะสวยจริงหรือ
เขาว่าคนอยากจะตาหวานหรือตาสวยต้องหมั่นรับประทานผักบุ้ง พูดกันจนเชื่อไปหมดทั้งเมืองแล้ว เรื่องนี้มีความจริงทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่
ผักบุ้งนั้นมีจุดเด่นในความเป็นผักใบเขียว และมีสารกลุ่มหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพตา นั่นคือสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีอยู่หลายร้อยชนิด แต่ชนิดที่นักวิทยาศาสตร์พบว่าอาจจะเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอได้คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินเอนั้นเรารู้ว่าช่วยในเรื่องของการมองเห็นหรือสายตา ส่วนลูทีน (lutein) กับซีเอแซนทีน (zeaxanthin) เป็นสารอีกชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มแคโรทีนนอย์เช่นกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับภาพและป้องกันแสงโดยเฉพาะแสงสีน้ำเงินและแสงสีฟ้า เนื่องจากสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์เป็นสีเหลืองจึงช่วยป้องกันแสงสีน้ำเงินหรือแสงสีฟ้าได้ ดังนั้นดวงตาของเราก็จะเสื่อมช้าลง
ภูมิปัญญาดั้งเดิมไม่ผิดครับ ผักบุ้งมีคุณอนันต์ต่อระบบการมองเห็นจริงๆ แต่คำอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์จะทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกัน และช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ในสังคมไทยขึ้นด้วย
เรื่องและรูปภาพประกอบจาก สสวท. (รอบรู้เรื่องวิทยาศาสตร์)
เขาว่าคนอยากจะตาหวานหรือตาสวยต้องหมั่นรับประทานผักบุ้ง พูดกันจนเชื่อไปหมดทั้งเมืองแล้ว เรื่องนี้มีความจริงทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่
ผักบุ้งนั้นมีจุดเด่นในความเป็นผักใบเขียว และมีสารกลุ่มหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพตา นั่นคือสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีอยู่หลายร้อยชนิด แต่ชนิดที่นักวิทยาศาสตร์พบว่าอาจจะเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอได้คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินเอนั้นเรารู้ว่าช่วยในเรื่องของการมองเห็นหรือสายตา ส่วนลูทีน (lutein) กับซีเอแซนทีน (zeaxanthin) เป็นสารอีกชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มแคโรทีนนอย์เช่นกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับภาพและป้องกันแสงโดยเฉพาะแสงสีน้ำเงินและแสงสีฟ้า เนื่องจากสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์เป็นสีเหลืองจึงช่วยป้องกันแสงสีน้ำเงินหรือแสงสีฟ้าได้ ดังนั้นดวงตาของเราก็จะเสื่อมช้าลง
ภูมิปัญญาดั้งเดิมไม่ผิดครับ ผักบุ้งมีคุณอนันต์ต่อระบบการมองเห็นจริงๆ แต่คำอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์จะทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกัน และช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ในสังคมไทยขึ้นด้วย
เรื่องและรูปภาพประกอบจาก สสวท. (รอบรู้เรื่องวิทยาศาสตร์)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)