"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--

ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)



แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สัตว์โลกน่ารู้ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สัตว์โลกน่ารู้ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

สุนัขจากมหายุค "ซีโนโซอิค" ก่อน แมลงสาบอึดมาจากยุค "เมโสโซอิค" และการแก้ตัวครั้งที่สองของของมนุษย์ในยุคนี้ (ท) http://bit.ly/bt9Rx0 #FM99

ต้นตระกูลบรรพบุรุษสุนัข แห่งมหายุค "ซีโนโซอิค"
วิวัฒนาการด้านโมเลกุลของสุนัขชี้ให้เห็นว่าสุนัขเลี้ยงนั้น (Canis lupus familiaris) สืบทอดมาจากจำนวนประชากรหมาป่า (Canis lupus) เพียงตัวเดียวหรือหลายตัว สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งชื่อพวกมัน สุนัขสืบทอดจากหมาป่าและสามารถผสมข้ามพันธุ์กับหมาป่าได้ด้วย



Canis lupus บรรพบุรุษของสุนัขสายพันธุ์ปัจจุบัน
( http://es.wikipedia.org/wiki/Canis_lupus )

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสุนัขนั้นถูกฝังลึกในด้านโบราณคดีและหลักฐานที่ตรงกันชี้ให้เห็นช่วงเวลาของการทำให้สุนัขเชื่องในยุคหินใหม่ ใกล้ ๆ กับขอบเขตของช่วงเพลสโตซีนและโฮโลซีน ในระหว่าง 17,000 - 14,000 ปีมาแล้ว ซากกระดูกฟอสซิลและการวิเคราะห์ยีนของสุนัขในยุคอดีตกับปัจจุบัน และประชากรหมาป่ายังไม่ถูกค้นพบ สุนัขทั้งหมดสืบอายุอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เชื่องด้วยตัวเองหรือไม่ก็ได้ถูกทำให้เชื่องด้วยตัวมันเองในพื้นที่มากกว่าหนึ่งพื้นที่ สุนัขที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้วอาจจะผสมข้ามพันธุ์กับประชากรหมาป่าที่อยู่ในถิ่นนั้น ๆ ในหลาย ๆโอกาส กระบวนการนี้รู้จักในทางทางพันธุศาสตร์ว่า อินโทรเกรสชัน (Introgression) 

ในยุคแรก ๆ ฟอสซิลสุนัข กะโหลก 2 จากรัสเซียและขากรรไกรล่างจากเยอรมนี พบเมื่อ 13,000 ถึง 17,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมันเป็นหมาป่าโฮลาร์กติก (Canis lupus lupus) ซากศพของสุนัขตัวเล็กจากถ้ำของสมัยวัฒนธรรมนาทูเฟียนของยุคหินได้ถูกเก็บไว้ในแถบตะวันออกกลาง มีอายุราว 12,000 ปีมาแล้ว เข้าใจว่าเป็นทายาทมาจากหมาป่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพศิลปะบนหินและซากกระดูกชี้ให้เห็นว่า เป็นเวลากว่า 14,000 ปีมาแล้วที่สุนัขในที่นี้กำเนิดจากแอฟริกาเหนือข้ามยูเรเชียไปถึงอเมริกาเหนือ หลุมฝังศพสุนัขที่สุสานยุคหินของเมืองสแวร์ดบอร์กในประเทศเดนมาร์กทำให้นึกไปถึงในยุคยุโรปโบราณว่าสุนัขมีค่าเป็นถึงเพื่อนร่วมทางของมนุษย์ 

การวิเคราะห์ทางยีนได้ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกันมาจนถึงทุกวันนี้ วิล่า ซาโวไลเนน และเพื่อนร่วมงาน พ.ศ. 2540 สรุปว่าบรรพบุรุษของสุนัขได้แยกออกจากหมาป่าชนิดอื่น ๆ มาเป็นเวลาระหว่าง 75,000 ถึง 135,000 ปีมาแล้ว เมื่อผลการวิเคราะห์ที่ตามมาโดยซาโวไลเนน พ.ศ. 2545 ชี้ให้เห็น เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมจากกลุ่มยีนสำหรับประชากรสุนัขทั้งหมด ระหว่าง 40,000 ถึง 15,000 ปีมาแล้ว ในเอเชียตะวันออก เวอร์จีเนลลี่ พ.ศ. 2548 แนะนำว่าอย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของทั้งคู่จะต้องถูกประเมินผลอีกครั้งในการค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่า นาฬิกาโมเลกุลแบบเก่าที่ใช้วัดเวลานั้นได้กะเวลายุคสมัยของเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาเกินความจริง โดยในความจริง และในการเห็นพ้องกันว่าด้วยเรื่องหลักฐานทางโบราณคดี เป็นเวลาเพียง 15,000 ปีเท่านั้นที่ควรจะเป็นช่วงชีวิตสำหรับความหลากหลายของของสุนัขหมาป่า

สหภาพโซเวียตเคยพยายามนำสุนัขจิ้งจอกมาเลี้ยงให้เชื่อง เช่นในสุนัขจิ้งจอกเงิน และสามารถนำมันมาเลี้ยงได้เพียงแค่ 9 ชั่วอายุของมันหรือน้อยกว่าอายุขัยของมนุษย์ นี่ยังเป็นผลในการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น เช่น สี ที่จะกลายเป็นสีดำ สีขาว หรือสีดำปนขาว พวกมันได้พัฒนาความสามารถในการขยายพันธุ์ตลอดปี หางที่โค้งงอมากขึ้น และหูที่ดูเหี่ยวย่น เรื่องเต็มๆ เกี่ยวกับบรรพบุรุษและการสืบสายพันธุ์สุนัข อ่านต่อได้ที่ วิกิฯ http://bit.ly/bDp4m2

อย่างไรก็ตาม มีการหักล้างในเวลาต่อมาว่า "สุนัข" มาจากสุนัขสายพันธุ์แอฟริกา
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิวัฒนาการของสุนัข และพบว่าบรรพบุรุษของมันคือหมาป่าสีเทา ในขณะที่สุนัขบ้านน่าจะเกิดในเอเซียตะวันออกเป็นที่แรก
หลักฐานก็คือความหลากหลายทางพันธุกรรมของสุนัขบ้านของเอเซียตะวันออกซึ่งมีสูงกว่าที่อื่น แสดงให้เห็นว่าสุนัขบ้านเกิดขึ้นมาในพื้นที่นั้นก่อนที่อื่นๆในโลก

แต่นักวิทยาศาสตร์รายงานในวรสาร PNAS ว่าจริงๆแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทำการศึกษาตัวอย่างดีเอ็นเอจากสุนัขกว่า 300 ตัวจากที่ต่างๆ นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าความหลากหลายทางพันธุกรรมของสุนัขที่พบในหมู่บ้านของชาวแอฟริกามีความหลากหลายไม่แพ้ในเอเซียตะวันออก

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าหมาป่าสีเทาหรือบรรพบุรุษของหมาบ้านอพยพเข้ามาในแอฟริกาเช่นกัน นอกจากนี้ธรรมชาติการเลี้ยงสุนัขในเกาะเช่นญี่ปุ่น อาจทำให้ความหลากหลายมีมากขึ้นจากการนำสุนัขจากที่อื่นเข้าไปผสมพันธุ์ หรือการมีสุนัขบ้านอยู่ตามถนนและที่ต่างๆ ทำให้มีความหลากหลายมากกว่าประเทศที่มีการควบคุมการผสมพันธุ์ของสุนัข
นั่นหมายถึงการที่หมาบ้านอาจกำเนิดขึ้นในแอฟริกาได้เช่นกัน

อ้างอิงเนื้อข่าวสำนักข่าวบีบีซี
Domestic dog origins challenged http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/8182371.stm

แมลงสาบอยู่รอดปลอดภัยมาจากมหายุค "เมโสโซอิค" 
วิวัฒนาการแมลงสาบ จากการศึกษาซากฟอสซิลของแมลงสาบ บ่งชี้ได้ว่า แมลงสาบได้ถือกำเนิดมาบนโลกนี้ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า เพราะมันได้เกิดมาตั้งแต่ยุคโบราณ(Carboniferous) 354 – 295 ล้านปีมาแล้ว ความแตกต่างของแมลงสาบโบราณกับแมลงสาบในปัจจุบัน คือช่องออกไข่ที่ปลายช่องท้องของมัน และมีการค้นพบฟอสซิลแมลงสาบที่เป็นยุคปัจจุบันคือมีรังไข่เหมือนกับปัจจุบันในยุคที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์จากโลกไปแล้ว หรือที่เรียกว่ายุค Mesozoic แมลงสาบสามารถปรับตัวได้กับทุกสภาพแวดล้อม เนื่องจากการที่แมลงสาบกินทุกอย่างเป็นอาหาร บางสายพันธุ์สามารถกินไม้ได้ด้วย แมลงสาบจะปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในประเทศที่เป็นเขตเมืองร้อน แมลงสาบในประเทศไทยจะอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน แหล่งของเสีย ขยะแมลงสาบที่อาศัยอยู่ตามฟาร์ม เช่น โรงผสมอาหารสัตว์

ในขณะที่่แมลงเกิดขึ้นมากในยุค Devonian และ แมลงสาบได้มีพัฒนาเต็มสายพันธุ์ในยุคนี้ ซึ่งเป็นแมลงที่แข็งแกร่งที่สุดในสายพันธุ์แมลงด้วยกัน
แมลง พบกำเนิดขึ้นเมื่อ 400 ล้านปีก่อน ในยุค Devonian แมลงชนิดแรกที่พบได้แก่ Rhyniella praecursor Hirst Maulik เป็นแมลงหางดีด อยู่ ในอันดับ Collembola พบที่ Scotland ต่อมายุค Carboniferous (350 ล้านปี) เป็นยุคที่เริ่มพบแมลงหลากหลายชนิดมาก ตัวอย่างเช่น แมลง Erasipteron larischi ซึ่งเป็นแมลงขนาดใหญ่รูปร่างคล้าย แมลงปอ ช่วงยุคนี้มีแมลงถือกำเนิดขึ้น 10 อันดับ โดยแมลงอันดับ Blattodea ซึ่งเป็นแมลงจำพวก แมลงสาบโดยพบมากกว่าอันดับอื่นๆ
อ่านต่อ วิวัฒนาการของแมลง http://www.sa.ac.th/biodiversity/contents/5insect/page.html

ข้อแตกต่างระหว่าง "แมลง" และ "แมง" 

แมลง
แมง
ตัวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน (ส่วนหัว, อก และ ท้อง)
 
ตัวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ( ส่วนหัวกับส่วนอก
เชื่อมกัน และ ส่วนท้อง )
ปีกส่วนใหญ่มี 2 คู่ไม่มีปีก
ขา 3 คู่ ขา 4 คู่
ตัวอย่างเช่น  แมลงดา  แมลงสาบ  แมลงกระชอน ฯลฯตัวอย่างเช่น  แมงมุม  แมงป่อง 
แมงดาทะเล ฯลฯ

ตารางการปรากฎของสิ่งที่มีชีวิตตามอายุของโลก

มหายุค(Era)
ช่วงเวลา(ล้านปี)
ยุค(Epoch)
เหตุการณ์และซากที่พบ
ซีโนโซอิค
(Cenozoic)
1.7 - 2.5
พลีสโตซีน
(Pleistocene)
เป็นยุคน้ำแข็ง มนุษย์วิวัฒนาการขึ้นในโลก
ก่อให้เกิดความหลากหลายของนกยุคใหม่

70
เทอร์เทียรี
(Tertiary)
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมลง และพืชดอก
เมโสโซอิค
(Mesozoic)
135
เครตาเซียส
(Cretaceous)
ก่อเกิดความหลากหลายในพืชดอกเกิดต้นตอของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในปัจจุบันแมลงสมัยปัจจุบันหลายชนิดปรากฏมีการสูญพันธุ์ของไดโนซอและแมลงในหลายกลุ่ม

190
จูราสซิค
(Jurassic)
เป็นยุคที่มีไดโนซอสูงสุดปรากฏพืชในกลุ่มสน เกิดต้นตอของนก พืชดอก และแมลงในยุคใหม่ในหลายลำดับและมีการหายไปของแมลงหลายกลุ่ม

255
ไตรแอสซิค
(Triassic)
มีสัตว์เลื้อยคลานที่ลักษณะคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีแมลงกระจายกว้างขวาง
ฟาลีโอโซอิค(Paleozoic)
270
เพอร์เมียน(Permian
ปรากฎแมลงในยุคใหม่ขึ้นในหลายระดับมีการหายไปของแมลงยุคโบราณ และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกยุคแรก

350
คาร์โบนิเฟอรัส(Carboniferous)
พืชที่เป็นถ่านหินที่เป็นเฟิร์นแพร่กระจายกว้างขวาง เฟิร์นที่มีเมล็ดและป่าฮอสเทล เกิดแมลงในลำดับใหม่หลายชนิดรวมถึงแมลงที่บินได้ มีความหลากหลายเพิ่มมากในซากโบราณของแมลง รวมถึงชนิดที่มีตัวขนาดใหญ่มาก ๆ มีความเด่นของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและเป็นยุคที่เริ่มเกิดสัตว์เลื้อยคลาน

400
ดิโวเนียน(Devonian)
เป็นการพบพืชมีเมล็ดเป็นครั้งแรก พบต้นตอของแมลงที่ยังไม่มีปีก พบสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ปลามีความเด่นในโลกมากที่สุด

440
ไซลูเรียน(Silurian)
เกิดพืชบกขึ้นเป็นครั้งแรก พบสัตว์บกครั้งแรกเป็นพวกกิ้งกือ ปลามีความหลากหลายมากขึ้น

500
โอโดวิเชียน(Odovician)
เป็นจุดเริ่มต้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็นช่วงสร้างความหลากหลายของสัตว์ไม่กระดูกสันหลังในท้องทะเล

600
แคมเบรียน(Cambrian)
เริ่มต้นและก่อความหลากหลายในสัตว์ไม่มี กระดูกสันหลังปรากฏสัตว์ในกลุ่มอาร์โทรพอดโดยเฉพาะ trilobites
พรีแคมเบรียน(Precambrian)
3500

เริ่มเกิดสิ่งมีชีวิต พบเซลล์ซากโบราณของจุลลินทรีย์ เริ่มต้นสัตว์ในกลุ่มไม่มีกระดูกสันหลัง


มนุษย์เชื่อว่า โลกมีการพ้นยุคสุดท้ายของวัฏจักรมาแล้วรอบหนึ่ง และที่กำลังยืนอยู่บนยุคที่สอง ที่อาจจะแก้ตัวได้ 





ท้องฟ้า ผืนดิน น่านน้ำ ไม่มีอะไรที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะครอบครองไม่ได้ด้วยความสามรถที่ได้จากวิวัฒนาการ

....และในที่สุด มนุษย์ก็ก้าวออกจากความมืดของประวัติศาสตร์เพื่อครองพิภพในฐานะสุดยอดนักล่า เช่นเดียวกับ Dimetrodon เมื่อเกือบสามร้อยล้านปีมาแล้วด้วยมรดกที่ถูกส่งผ่านมาในเกลียวอมตะของ D.N.A.
ความรุ่งเรืองและสูญพันธุ์สอนเราว่า ความยิ่งใหญ่เหนือพื้นพิภพเป็นแค่ไม้ขีดที่สว่างวูบในเสี้ยวกาลแล้วดับไปอย่างไม่บอกกล่าว มนุษย์จึงควรภูมิใจกับมรดกของชีวิตและรับภาระปกครองโลกนี้ให้คุ้มค่าแม้จะเพียงชั่วครั้งคราว...เพราะไม่บ่อยนักที่เราจะได้รับโอกาสครั้งที่สอง
ที่มา : SRC: Wikipedia,Google, Kitzmiller v. Dover: Padian demonstrative slides,Evolution: What The Fossils Say And Why It Matters


*อ้างอิงเพิ่มเติม*
Carpenter, F.M. 1953. The geological history and evolution of insects. American Scientist 41 : 256-270
Engel, M.S. amd Grimaldi, D.A. 2004. New light shed on the oldest insect. Nature 427 : 627 – 630.
Levin, H.L. 1999. Ancient Invertebrates and their living relatives. Prentice-Hall, Upper Saddle River, New Jersey
Ward, J.V. 1992. Aquatic Insect Ecology 1 : Biology and Habitat. John Wiley & Sons, Inc. New York.
Williams, D.D. and Feltmate, B.W. 1992. Aquatic Insects. CAB International. Wallingford.

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กบในขณะที่เป็นตัวอ่อนและตัวเต็มวัย มีการเคลื่อนที่แตกต่างกันอย่างไร และใช้อวัยวะใดในการเคลื่อนที่

ที่มาของบทความ ตอบคำถาม กูเกิลกูรู
แปะรูปเพื่อตอบคำถาม








รูปถ่ายจากหนังสือต้นฉบับ
ชื่อหนังสือ "ดูฉันโตวันโตคืน - กบ"
ISBN : 978-974-9996-80-5
Lisa Magloff เขียน  นิลุบล  พรพิทักษ์พันธุ์ แปล

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไมฟลามิงโก้ยืนขาเดียว?? เดิมนักวิจัยบอกคลายเมื่อยและเตรียมวิ่ง ซึ่งผิด จึงสรุปว่าเพื่อถ่ายเทความร้อนตัวสู่น้ำ สลับข้างเมื่อเย็น&กันเชื้อรา

ทำไม “นกฟลามิงโก้” (Flamingo) จึงมักยืนขาเดียว?!?!




เราอาจเคยพบเห็นนกฟลามิงโก้ที่กำลังยืนอยู่ด้วยขาเพียงข้างเดียวกันมาบ้าง ไม่ว่าจะเห็นแต่เพียงในรูปภาพหรือเห็นตัวเป็นๆของมันที่อยู่ในสวนสัตว์ที่ไหนสักแห่ง แต่มีใครเคยนึกฉงนสนเท่ห์บ้างไหมว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น


อย่างน้อยก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์ 2 คนในสหรัฐอเมริกาที่อยากจะรู้ว่า เหตุใดนกฟลามิงโก้จึงมักยืนอยู่ด้วยขาเพียงข้างเดียว แม็ทธิว แอนเดอร์สั้นและซาร่าห์ วิลเลี่ยมส์ ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาเปรียบเทียบ(comparative psychologists)ประจำมหาวิทยาลัยเซนต์โจเซฟส์ในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพ็นซิลเวเนีย ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าและสังเกตบรรดานกฟลามิงโก้ที่อยู่ในสวนสัตว์ …….. จนกระทั่งรู้ว่านกชนิดนี้ยืนด้วยขาข้างเดียวเพื่อช่วยปรับอุณหภูมิร่างกายของพวกมัน

แม็ทธิวเล่าว่าเขาสนใจเรื่องราวของนกฟลามิงโก้ด้วยเหตุผลหลายประการ และในเชิงวิทยาศาสตร์แล้วนกชนิดนี้มีธรรมชาติของการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก็ยิ่งทำให้มันเป็นสัตว์ที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นในแง่ที่ว่าอิทธิพลของการอยู่ร่วมกันในสังคมของพวกมันจะส่งผลต่อพฤติกรรมอย่างไรได้บ้าง นอกจากนี้ มันยังเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ มีความสวยงาม และเป็นที่รู้จักกันดีอีกด้วย เขากล่าวว่า “ที่สำคัญก็คือ ผมเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมจึงมีการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับนกฟลามิงโก้น้อยมาก”



แม็ทธิวและซาร่าได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับนกฟลามิงโก้ในหลายๆด้าน โดยใช้เวลาเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมของนกฟลามิงโก้แคริบเบี้ยนในสวนสัตว์ฟิลาเดลเฟีย และหัวข้อหนึ่งที่พวกเขาให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือการที่นกฟลามิงโก้มักจะยืนขาเดียว(unipedal resting) ซึ่งได้ตั้งสมมติฐานว่าการที่นกชนิดนี้ยืนขาเดียวนั้นเป็นการช่วยคลายความเมื่อยล้าให้ขาอีกข้างหนึ่งก่อนที่จะสลับมายืนด้วยขาที่ได้พักแล้วในภายหลัง หรือว่าการยืนขาเดียวนั้นจะช่วยให้พวกมันสามารถที่จะออกตัวได้ทันทีเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องหลบหนีศัตรู




ปรากฏว่าสมมติฐานข้างต้นไม่ถูกต้องเลย แต่ทั้งสองคนกลับพบว่านกฟลามิงโก้มักจะยืนด้วยขาเพียงข้างเดียวในขณะที่มันแช่อยู่ในน้ำมากกว่าเมื่อยามที่มันอยู่บนบก พวกเขาจึงสรุปความเห็นได้โดยใช้สมมติฐานทางด้านการปรับอุณหภูมิของร่างกายและเชื่อว่า นกฟลามิงโก้ยืนด้วยขาข้างเดียวเพื่อช่วยให้ร่างกายของพวกมันไม่ถ่ายเทความร้อนลงสู่น้ำหรือไม่ทำให้ร่างกายมันรู้สึกเย็นจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พวกมันต้องเดินท่องน้ำนานๆ

ยิ่งไปกว่านั้น แม็ทธิวและซาร่ายังพบว่า หลังจากที่นกฟลามิงโก้ยืนด้วยขาข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว มันก็จะสลับไปยืนด้วยขาอีกข้างหนึ่งแทน ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้ขาที่ใช้ยืนในครั้งแรกนั้นได้รับความเย็นจากน้ำจนนานเกินไป ซึ่งการยืนด้วยขาที่ละข้างอาจจะช่วยลดโอกาสที่จะติดเชื้อราจากน้ำหรือได้รับปรสิตบางชนิดจากน้ำที่มันยืนอยู่ได้ด้วย

 
 
 
 
ที่มา : Why flamingoes stand on one leg
ต้นฉบับ http://news.bbc.co.uk/earth/hi/earth_news/newsid_8197000/8197932.stm
เว็บไซต์เผยแพร่ : วิชาการดอทคอม, ไทยทัวร์ดอทคอม
อ่านเพิ่มเติม : ฟลามิงโก..สมาชิกสัตว์โลก เสี่ยงสูญพันธุ์...ด้วยผู้รักผู้  http://www.rd1677.com/branch.php?id=43565
ฟลามิงโก (Flamingos) ...SEAWORLD SAN DIEGO CA USA  http://www.oknation.net/blog/sonyaUSA/2009/08/24/entry-1
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ไก่บินไกลแค่ไหน?? มีการแข่งขันที่โอไฮโอ้ USA เมื่อ 21 พ.ค. 1977 ไก่ชื่อ Kung Flewk บินได้ไกลถึง 90.57 เมตร ไก่ไทยบินสั้นเพราะไม่ได้แข่งบิน

ไก่บินได้ ไกลแค่ไหน??

หากใครมาถามเราว่า ไก่บินได้ไกลแค่ไหน ก็คงจะตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า อย่างมากก็ไปได้ไม่ไกลเกิน 5 เมตร เพราะทุกครั้งที่มันขยับปีกบิน อย่างไกลที่สุดก็เหมือนกันมันกระโดดจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่ง แม้ปีกของมันจะออกแรงตีพึบพั๊บขนาดไหนก็ตาม

แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ จากสถิติของสมาคมแข่งขันไก่บินนานาชาตินั้นไม่ได้บอกว่า ไก่บินได้แค่ระยะทางอย่างที่เราคิดเสียแล้ว แต่แชมเปี้ยนที่ทำสถิติสูงสุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ระบุว่า ไก่ชื่อ Kung Flewk สามารถบินได้ไกลถึง 297 ฟุต หรือ 90.57 เมตรทีเดียว ไม่ใช่บินใกล้ ๆ อย่างที่นึกเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ตั้งสมาคมแข่งขันไก่บินระดับนานาชาติให้เสียชื่อ "ไก่" ใช่ไหม

อ้อ..เกือบลืมบอกไป สถานที่แข่งขันกันครั้งนั้น อยู่ที่ Rio Grande รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1977


ที่มา : นิตยสารเรียนดี. ปี 2 ฉบับที่ 8.
เพิ่มเติม : ไก่ : ความเชื่อล้านนา http://www.thainews70.com/news/news-culture-sanon/view.php?topic=329
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ใยแมงมุม..เหนียวกว่าเหล็ก?? BioSteel กองทัพUSผู้ผลิต&จข.สิทธิ์ โดยการเพาะเซลล์ปั่นกับน้ำและเมทานอล แพทย์ใช้เย็บหลอดเลือดฯลฯ ทำเอ็น และอาวุธ

ใยแมงมุม…สังเคราะห์


ท่านที่ได้เคยชมภาพยนต์เรื่อง มนุษย์แมงมุม (spider man) ที่กำลังลงโรงฉายอยู่ในปัจจุบันอาจจะสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ใยแมงมุมเส้นเล็กๆ เพียงเท่านั้นจะสามารถรองรับน้ำหนักของมนุษย์คนหนึ่งให้ห้อยโทนโจนทะยานไปมาระหว่างซอกตึกต่างๆ โดยไม่ขาด เป็นไปได้แน่นอน ในความเป็นจริงแล้ว ใยแมงมุมถือได้ว่าเป็นวัสดุธรรมชาติที่มีความแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ เนื่องจากโครงสร้างโปรตีนไฟโบรอีน (fibroine) ที่จัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบสูง ถ้าจะเทียบไปแล้วใยแมงมุมแข็งแรงกว่าเหล็กถึง 5 เท่า และแข็งแรงกว่าเส้นใยเคฟลาร์ที่ใช้ผลิตคอมโพสิทในงานทางวิศวกรรมและทางทหารถึง 3 เท่าในน้ำหนักที่เท่ากัน นอกจากมีความแข็งแรงแล้วในแมงมุมยังมีความเหนียวที่ดีมากสามารถยึดตัวออกได้สูง จะเห็นได้จากความมีประสิทธิภาพของมันในการดักจับแมลงต่างๆ ที่บินชนโดยไม่เกิดการขาดแต่อย่างใด ใยแมงมุมหนึ่งเส้นมีขนาดเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์กว่า 10 เท่า แต่สามารถที่จะหยุดผึ้งที่บินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ ถ้าจะมองภาพให้ชัดเจนมากขึ้น ใยแมงมุมเส้นเดียวที่มีความหนาขนาดเท่ากับดินสออาจจะมีความสามารถในการที่จะหยุดเครื่องบิน โบอิ้น 747 ให้หยุดบินได้เหมือนแมลงอย่างไม่ยากเย็นนัก


ความมหัศจรรย์ของใยแมงมุมอาจจะเป็นความจริงสำหรับมนุษย์ในไม่ช้า แต่คงไม่ใช้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับการเดินทางแบบใหม่เหมือนในภาพยนตร์ หน่วยงานของกองทัพสหรัฐอเมริกาคือ US Army Soldier Biological Chemical Command (SBCCOM ) ร่วมกับบริษัท Nexia Biotechnologies Inc. ได้พัฒนาเทคนิกในการผลิตและปั่นเส้นใยแมงมุมสังเคราะห์ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก โดยสามารถผลิตให้มีสมบัติเทียบเคียงกับใยแมงมุมในธรรมชาติ เส้นใยดังกล่าวมีชื่อทางการค้าว่า BioSteel ? (ใยแมงมุมสังเคราะห์นี้ ผลิตขึ้นโดยการผลิตโปรตีนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของใยแมงมุมด้วยเทคนิกการเพาะเลี้ยงเซลล์ (cell culture) ของยีนที่ได้จากแมงมุมจากโปรตีนโมโนเมอร์ที่ผลิตขึ้นได้จะถูกนำไปปั่นผ่านของผสมระหว่างน้ำและเมทานอลเพื่อให้เกิดการแข็งตัวเป็นเส้นใยขึ้น

ความคิดในการผลิตใยแมงมุมขึ้นใช้งานไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ แต่ปัญหาคือจะทำได้อย่างไรถ้าจะผลิตใยธรรมชาติเหมือนกับการผลิตใยไหม แมงมุมก็ไม่สามารถถูกเพาะเลี้ยงเป็นจำนวนมากได้เหมือนหนอนไหม เพราะนิสัยตามธรรมชาติของแมงมุมที่จะรักษาอาณาเขตในการอาศัย ถ้ามองถึงแม้จะมีการสังเคราะห์ ถึงแม้จะมีการศึกษาและสร้างโปรตีนของใยแมงมุมได้นานแล้วก็ตาม แต่ยังไม่สามารถผลิตในปริมาณมากได้ ด้วยเทคนิคที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในปัจจุบันนี้เอง จึงเป็นการเปิดโอกาสในการที่จะผลิตใยแมงมุมสังเคราะห์ในปริมาณมากเพื่อนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้

โดยปรกติแมงมุมจะผลิตใยขึ้นแตกต่างกันถึง 7 ประเภท ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้งาน แต่ใยแมงมุมประเภท dragline เป็นเส้นใยประเภทที่ได้รับความสนใจในการสังเคราะห์ขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากเส้นใยประเภทนี้มีความแข็งแรงมากเป็นเส้นใยที่แมงมุมใช้ปล่อยตัวจากที่สูงและใช้เป็นใยวงนอกสุดและเส้นใยโครงที่แผ่จากจุดศูนย์กลางของใยแมงมุมในการดักแมลง อย่างไรก็ตามเส้นใยแมงมุมที่สังเคราะห์และผลิตขึ้นได้นี้มีความแข็งแรงที่ต่ำกว่าใยแมงมุมธรรมชาติ แต่มีความแกร่งและความเหนียวเทียบเท่ากันในอนาคตจะมีการพัฒนาให้ใยสังเคราะห์มีสมบัติที่ดีขึ้นและมีหลายประเภทเช่นเดียวกับใยในธรรมชาติเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน



ประโยชน์ของใยแมงมุมสังเคราะห์ในทางการแพทย์นั้น ใยเหล่านี้คาดว่าสามารถถูกนำมาใช้ผลิตวัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เย็บหลอดเลือด แผ่นปิดแผล กาว ไหมละลาย หรือแม้แต่เส้นเอ็นเทียม ทั้งนี้ด้วยความเหนียวที่เป็นเยี่ยมของใยแมงมุม ทำให้การขาดเสียหายของอุปกรณ์เหล่านี้จากการใช้งานลดต่ำลง นอกจากนี้ยังสามารถที่จะลดขนาดของอุปกรณ์บางประเภทแต่ยังคงความแข็งแรงตามเดิม เช่น ไหมละลาย เป็นต้น นอกจากนี้อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้งานระยะยาวไม่ว่าจะเป็นแบบถาวรหรือแบบสลายตัวได้ก็จะสามารถถูกผลิตจากใยแมงมุมสังเคราะห์ได้เช่นกัน นอกจากประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว ใยแมงมุมสังเคราะห์ยังสามารถใช้งานทางอุตสาหกรรมที่ต้องการเส้นใยประสิทธิภาพสูง เช่น การทำเสื้อเกราะอ่อนกันกระสุน เชือกหรือเส้นเอ็น หรือเอ็นของเบ็ดตกปลา เป็นต้น

BioSteel จะเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับใยแมงมุมตามธรรมชาติ (แต่อาจจะไม่เป็นมิตรต่อแมลง) มันสามารถที่จะสลายตัวได้เองในภาวะที่มีน้ำ นอกจากนี้กระบวนการผลิตก็ยังไม่ต้องใช้ตัวทำละลายที่เป็นพิษอีกด้วย คงอีกไม่นานเกินรอ ที่เราจะได้ใช้ใยแมงมุมเหมือนมนุษย์แมงมุม แต่จะเอาไว้ปราบปรามเหล่าร้ายหรือไม่นั้นคุณเป็นคนเลือก



ที่มา/เอกสารอ้างอิง
1.Lazaris et al. (2002), Science, 295. Pp. 572-576.
2.Bijal P. Trivedi (2002), National Geographic Today, January 17.
3. http://www.denniskunkel.com/
4. http://www.nexiabiotech.com/
ดร.จินตมัย สุวรรณประทีป
เว็บไซต์เผยแพร่ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) http://www.mtec.or.th/
ข้อมูลจาก…วงการแพทย์ ฉบับวันที่ 1-10 มิถุนายน 2545

ข้อมูลเพิ่มเติม ใยแมงมุม เกราะใยแมงมุม  http://www.vcharkarn.com/vcafe/9886

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แมวเขี่ยตักเราก่อนล้มตัวลงนอน?? ดร.ไมเคิล กอสลิน บอกติดพฤติกรรมเขี่ยกระตุ้นน้ำนมแม่มา ส่วนเช่างฯคลีนิคแมวบอกมันเคลียร์พื้นที่ โซฟาแมวก็เขี่ย

ทำไมแมวต้องใช้เท้าเขี่ยที่ตักของเราก่อนล้มตัวลงนอน??



เรื่องนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัดแม้จะมีคนพยายามอธิบายมากมาย ดร. ไมเคิล กอสลินแห่งโรงพยาบาลสัตว์ประจำมอนทรีอัล กล่าวว่า เป็นพฤติกรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะต้องกระตุ้นหัวนมของแม่ให้หลั่งน้ำนมออกมาเยอะๆ

แต่บางทีอาจเป็นการแสดงความรักของแมวต่อเจ้าของก็ได้ คือคำอธิบายของเอพริล ฟิตซ์เจอรัลด์ ช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญประจำคลินิกรักษาแมวแห่งมอนทรีอัล เธอยังกล่าวอีกว่า แมวเขี่ยตักของคุณเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้นุ่มน่านอน ถ้าคุณไม่อยู่แถวนั้น แมวก็คงจะเขี่ยเบาะโซฟาให้เรียบร้อยก่อนนอนก็ได้

 
 
 
 
 
 
 
ที่มา : เรื่องราวน่ารัก สาระน่ารู้ ของมวลหมู่เหมียว
ทีมงาน http://www.catandkittenstory.com/
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

เนื้อปลาทะเลทำไมไม่เค็ม? ทะเลมีเกลือ3.5% ปลากระดูกแข็งที่ครีบมีต่อมขับเกลือออกมา ส่วนปลากระดูกอ่อนเลือดมียูเรียข้นกว่าทะเลเกลือซึมเข้าไม่ได้

เนื้อปลาทะเล ทำไมไม่เค็ม??

ปลาทะเลที่เรานิยมรับประทานนั้น เป็นส่วนหนึ่งของปลาอีกหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลอย่างนับไม่ถ้วน แล้วคุณรู้ไหมน้ำทะเลที่มีความเค็มและขมนั้น ประกอบด้วยเกลือถึง 3.5% อาจมีคนตั้งข้อสงสัยว่า ในเมื่อทะเลประกอบด้วยเกลือจำนวนมากเช่นนี้ ปลาที่อาศัยกินอาหารต่างๆในทะเลนั้น ทำไมเนื้อกลับไม่เค็มเลยสักนิด

ในความเป็นจริง ปลาที่อาศัยอยู่ในทะเลนั้นสามารถแบ่งได้ 2 ชนิดใหญ่ๆคือ ปลากระดูกอ่อนและปลากระดูกแข็ง ในครีบของปลากระดูกแข็งจะมีเซลล์พิเศษชนิดหนึ่ง เรียกว่าเซลล์ขับเกลือ เซลล์ชนิดนี้สามารถดูดเกลือในกระแสเลือด ผ่านน้ำเมือกข้นเหนียวพร้อมกับขับออกจากตัวปลา การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของเซลล์กลุ่มนี้ ทำให้สามารถรักษาความสมดุลย์ของเกลือในร่างกายให้พอดี



ส่วนในปลากระดูกอ่อนนั้น ก็จะมีวิธีการรักษาความสมดุลย์ของเกลือในร่างกายอีกแบบหนึ่ง ในกระแสเลือดของมันจะประกอบด้วยสารประกอบยูเรียที่มีความหนาแน่นมาก ทำให้กระแสเลือดมีระดับความหนาแน่นสูงกว่าน้ำทะเล จนเกลือไม่สามารถซึมผ่านเข้าร่างกายได้ เพราะเหตุนี้เนื้อของมันจึงไม่มีความเค็ม

 
 
การที่ทะเลมีรสเค็ม เนื่องจากการรวมตัวของน้ำละลายเกลือแร่ ที่ถูกพัดพามาจากพื้นทวีป และใต้ทะเล โดยความเค็มของทะเลจะมีความคงที่ สาเหตุที่ความเค็มของน้ำทะเลไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั้น ก็เพราะในมหาสมุทรมีกระบวนการของธรรมชาติที่รักษาระดับความสมดุลของเกลือแร่ คือถ้าหากว่าธาตุชนิดใดมีในน้ำมากเกินกว่าปกติ ก็จะถูกกำจัดออกจากน้ำทะเล โดยการแยกตัวออกเป็นของแข็ง ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีธาตุใดละลายน้ำน้อยเกินปกติ เกลือแร่ของธาตุนั้นในรูปของแข็ง ก็จะถูกละลายกลับสู่น้ำทะเล ดังนั้น ความเค็มของน้ำทะเลจึงคงที่มาหลายล้านปีแล้ว


น้ำทะเลเค็มเพราะมีเกลือหลายชนิดละลายอยู่ ที่สำคัญที่สุดได้แก่ เกลือแกง ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่าโซเดียมคลอไรด์ หรือ มีสูตรเคมีว่า NaCl น้ำทะเล โดยเฉลี่ยแล้วมีเกลือร้อยละ 3.5 หรือน้ำทะเล 1 ลิตรจะมีเกลือละลายอยู่ประมาณ 30 กรัม ยิ่งไปกว่านั้น ทะเลในแผ่นดินใหญ่หรือทะเลปิด ซึ่งไม่เชื่อมต่อกับทะเลหรือมหาสมุทรทั่วไป เช่น ทะเลเมดิเตอเรเนียนหรือทะเลแดง เกลือละลายอยู่มากกว่าทะเลหรือมหาสมุทรทั่วไป

ส่วนทะเลที่มีความเค็มมากที่สุดได้แก่ ทะเลเดดซี(Dead Sea) ในประเทศอิสราเอล ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 340 ตารางไมล์ เท่านั้น โดยมีปริมาณเกลือมากถึง 10,523,000,000 ตัน ถ้าเราสามารถระเหยเอาน้ำทั้งหมดออกไปจากทุกทะเลและมหาสมุทรในโลกได้จนแหล่งน้ำเหล่านี้แห้งลงจะพบว่า เกลือที่เหลืออยู่จะมีปริมาณมากมายมหาศาลจนเหลือเชื่อ ถ้านำเกลือเหล่านี้ทั้งหมดมารวมเป็นกอง จะได้กำแพงที่สูง 180 ไมล์ และหนา 1 ไมล์ หรือมวลของเกลือทั้งหมดมีขนาดประมาณ 15 เท่าของมวลทั้งหมดของพื้นที่ทวีปยุโรป (อ่านเต็มๆ http://school.rvs.ac.th/  )


 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ที่มา :  รอบรู้เรื่องสัตว์ ชุด ปลาทะเล, หนังสือ ISBN : 974-99190-8-4
ข้อมูลเพิ่มเติม : เผยน้ำจืดมากเกินทำ ปลาบางแสนตาย http://www.dektube.com/action/viewarticle/3407/_______________________________/?vpkey=6eb53843ae&album_id=
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หมาทำหน้าเจี๋ยม?? หน้าสำนึกผิดของหมา ผลวิจัยบอกเกิดจากพฤติกรรมคน เช่น เสียงดุ และดูอาการหมาว่าอาจจะทำผิดมา แต่ชัดว่าหมามีfeelingได้เหมือนคน

จริงๆ แล้วอะไรเป็นสิ่งกระตุ้น ? หน้าตาสำนึกผิดของหมา



อะไร ทำให้หมาทำหน้าตาสำนึกผิดเมื่อเจ้าของกลับมาบ้านแล้วมีแจกันแตกหรือว่าสิ่ง ของมีค่าเสียหาย? โดยการสร้างสถานการณ์อย่างแนบเนียนให้เจ้าของได้รับข้อมูลผิดๆ ว่าหมาของพวกเขาได้ทำความผิด Alexandra Horowitz ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Barnard College ในนิวยอร์ค ได้เปิดเผยถึงที่มาของ ?หน้าตาสำนึกผิด? ของหมาในหนังสือที่พึ่งตีพิมพ์ ?นิสัยและการรับรู้ของสุนัข? ฉบับพิเศษของกระบวนการทางนิสัยของ Elsevier

Horowitz สามารถ แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มที่มนุษย์สามารถทำให้หมาทำหน้าตาสำนึกผิดไม่ได้เกิด จากความจริงว่าหมาตัวนั้นทำผิดจริงๆ หรือไม่ แต่มนุษย์จะคิดว่าหมาได้ทำความผิดจากภาษากายของมันและเชื่อว่ามันได้ทำสิ่ง ที่ไม่ควรทำ แม้ว่าความจริงแล้วหมาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

ระหว่างการศึกษา เจ้าของหมาได้ถูกขอให้ออกไปจากห้องหลังจากสั่งหมาของตนไม่ให้กินอาหารที่ดูน่ากิน และเมื่อเจ้าของออกไปจากห้อง Horowitz ได้ ให้อาหารเหล่านี้แก่หมาก่อนที่จะบอกให้เจ้าของกลับเข้ามาในห้อง ในบางครั้งเจ้าของได้รับการบอกว่าหมาของตนได้กินของที่โดนห้าม และในบางครั้งพวกเขาได้รับการบอกว่าหมาของตนทำตัวดีและไม่ได้กินอาหารที่โดน ห้ามเลย อย่างไรก็ตามสิ่งที่เจ้าของได้ฟังมักจะไม่ตรงกับความเป็นจริง

พฤติกรรม ของหมาที่ทำหน้าตาสำนึกผิดมีความเกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยกับความจริงว่าหมา ได้กินของที่โดนห้ามจริงๆ หรือไม่ หมาจะทำหน้าตาสำนึกผิดมากที่สุดเมื่อถูกเจ้าของว่า ความจริงแล้วหมาที่เชื่อฟังและไม่ได้กินของที่โดนห้ามแต่โดนเจ้าของว่า (เนื่องจากได้รับข้อมูลที่ไม่จริง) จะ ทำหน้าตาสำนึกผิดมากกว่าตัวที่กินจริงๆ เสียอีก ดังนั้นหน้าตาสำนึกผิดของหมาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของเจ้าของ และไม่จำเป็นว่าจะบ่งบอกถึงความรู้สึกผิดเมื่อมันทำผิด

การ ศึกษานี้นำไปสู่ความเข้าใจถึงแนวโน้มที่มนุษย์จะตีความหมายพฤติกรรมของหมาในแนวความคิดของมนุษย์ การเปรียบเทียบพฤติกรรมสัตว์กับมนุษย์ ถ้ามีความเหมือนกันอย่างผิวเผินดังนั้นพฤติกรรมสัตว์จะถูกตีความหมายคล้ายกับพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งรวมถึงอารมณ์ขั้นสูงขึ้น เช่น ความรู้สึกผิดหรือว่าเห็นอกเห็นใจตัวอื่นๆ



Clive D.L. Wynne แห่งคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัย University of Florida ซึ่งเป็นบรรณาธิการของหนังสือฉบับพิเศษนี้อธิบายว่า ?นี่ เป็นการสาธิตที่น่าทึ่งถึงความจำเป็นสำหรับการออกแบบการทดลองที่รอบคอบหาก เราต้องการจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และหมา และไม่ใช่เพียงแค่ทำความเชื่อที่เรามีต่อพฤติกรรมสัตว์ให้เป็นรูปธรรมเท่านั้น? เขาได้ชี้ให้เห็นว่าหมาเป็นสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดที่คนนำมาเลี้ยงและมีบทบาทที่ใกล้ชิดกับชีวิตคนหลายล้านคน การวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับหมาได้ชี้ให้เห็นถึงการทดลองที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับ อารมณ์สัตว์ที่คล้ายมนุษย์ เช่น การทดลองกับลิงชิมแปนซี








ที่มา http://www.sciencedaily.com/releases/2009/06/090611065839.htm
เว็บไซต์เผยแพร่ : http://www.vcharkarn.com/vnews/152393
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นกน้ำไม่จมน้ำ?? กลางโคนหางมันจะมีต่อมผลิตน้ำมัน ไซ้เอาไปทาขนปีกให้ชุ่ม ทำให้ลอยน้ำได้ แต่ถ้าขนโดนน้ำมันดิบปีกอุ้มอากาศไม่ได้ จมน้ำตายเยอะมาก

ทำไมนกที่อาศัยอยู่ในน้ำจึงไม่จมน้ำ




นกที่อาศัยอยู่ในน้ำหรือนกน้ำนั้น บริเวณส่วนกลางของโคนหางของมัน จะมีต่อมสำหรับผลิตน้ำมันอยู่ปกตินกจะใช้ส่วนหัวและส่วนปาก ไซ้เอาน้ำมันจากส่วนนี้ไปทาให้ทั่วบริเวณขนอยู่เสมอ ทำให้ขนนกอาบด้วยไขมัน ขนนกจึงไม่เปียกน้ำ และระหว่างขนนกก็ยังมีอากาศแทรกอยู่มาก ดังนั้นนกจึงลอยตัวอยู่ได้แต่ถ้ามีเหตุให้ขนนกต้องโดนน้ำมันดิบ ก็จะทำให้ขนนกไม่สามารถอุ้มอากาศได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นกจมน้ำตาย ซึ่งมักปรากฎอยู่เสมอเมื่อมีการรั่วไหลของน้ำมันลงสู่ทะเล และการเสียชีวิตของนกน้ำจำนวนมากพบว่า สาเหตุมาจากพิษของน้ำมันที่ไหลลงสู่ทะเล

 
 
ที่มา : หนังสือ สัตว์โลกน่ารู้ เล่ม 2
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ทำไมแมงมุมไม่ติดใยมัน? มันชักใยแห้งทำรังของมันก่อน เมื่อใกล้เสร็จจะถักใยเหนียวดักแมลง แล้วเว้นที่บางส่วนไว้เดินเอง ตัวเมียเป็นผู้ชักใยเท่านั้น

ทำไมแมงมุมจึงไม่ติดใยของมัน



ใยแมงมุมนั้นเป็นกับดักอย่างดี ที่จะคอยดักพวกแมลงต่างๆ ที่หลงมาติดใยอันเหนียวแน่น แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าแมงมุมไม่เคยติดใยของตัวมันเองเลย ขั้นตอนการชักใยอันชาญฉลาดของแมงมุนนั้น มันจะชักใยแห้งไม่เหนียวทำรังของมันก่อน และเมื่อรังใกล้เสร็จมันก็จะชักใยถักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันจะใช้ใยเหนียวที่สามารถดักแมลง และมันจะเว้นพื้นที่บางส่วนไว้สำหรับการเคลื่อนที่ได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้แมงมุมที่ทำการชักใยจะเป็นเพศเมีย

นอกจากนี้แมงมุมยังสามารถรู้ด้วยว่า มีเหยื่อมาติดใยของมันหรือยัง โดยก่อนที่มันจะจากไปหลังจากสร้างใยเสร็จแล้ว มันจะปั่นเส้นใยขึ้นมาเส้นหนึ่งสำหรับไว้เป็นเครื่องมือสื่อสารเชื่อมต่อระหว่างตัวมันกับรังของมันดังนั้นเมื่อมีเหยื่อมาติดกับเส้นใยเข้า แมงมุมก็จะรู้ได้จากการสั่นสะเทือนของเส้นใยที่มันโยงมา จากนั้นมันจะรีบกลับมาเพื่อจับเหยื่อไว้ด้วยเส้นใย และทำการฉีดพิษเข้าสู่ตัวเหยื่อจนแน่ใจว่าเหยื่อแน่นิ่งแล้ว มันก็จะดูดเลือดเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายอย่างสบายๆ

แมงมุมชักใย แมงมุมเริ่มต้นชักใยด้วยการสร้างเป็นโครงสร้างสามเหลี่ยม เป็นวิธีที่ใช้ใยน้อยที่สุด แต่ได้ความแข็งแรงสูงสุดและยืดหยุ่นได้ดี โครงสร้าง รัศมี และวงก้อนหอย อันแรก ใช้ใบชนิดไม่มียางเหนียว แมงมุมสร้างวงก้นหอยที่สองเป็นใบสำหรับดักจับแมลง เป็นอาหาร มันจะปั่นม้วนใยจากปลายข้างนอกเข้ามาหาจุดศูนย์กลาง โดยใช้เป็นยางเหนียว เป็นวงก้นหอยแบบลอการิทึม แมงมุมจำทุกส่วนของแผงใยได้ ดังนั้นแมงมุมจึงไม่ติดกับดักของตัวเอง เมื่อมีแมลงมาติด มันจะรู้ตำแหน่งโดยทันที จากการสั่นของใยรัศมี โดยไปทางเส้นใยที่ไม่มียางเหนียว


 
 
ที่มา : หนังสือ สัตว์โลกน่ารู้ เล่ม 2
เพิ่มเติม (ตอนท้าย) : http://chookwan.blogspot.com/2008/01/blog-post_1694.html
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แมวตาเพชร..พิเศษหรือพิการ?? คือแมวที่มีความผิดปกติ เป็นโรคตาที่เรียกว่าต้อ อาการตาบวมโตขึ้น ตัวเลนส์มีสีขุ่นมัวและมีประกายออกมา แมวป่วยทางตา

แมวตาเพชร...พิเศษหรือพิการ


มนุษย์มีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือชอบสะสมของแปลกๆหรือสิ่งแปลกๆ ไว้ใกล้ตัว เพราะเชื่อว่าจะนำสิริมงคลมาให้ สะสมไปถึงขั้นเลี้ยงสัตว์ที่แปลก อย่างแมวตาเพชรหรือเพชรตาแมว

ได้ยินข่าวเป็นระยะๆ ว่ามีคนได้เพชรตาแมวมาจากแมวตัวนั้นตัวนี้ และยังบอกสำทับมาด้วยว่าจะทำให้เกิดโชคลาภต่างๆ นานา ยอมเสียสตางค์ซื้อแมวหลายแสนบาท หรือ เป็นล้านบาทก็ยังมี

ผลสุดท้ายต้องมานั่งซอกซ้ำใจ เพราะเมื่อแมวตัวนั้นตายไปแล้วปรากฏว่าสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นเพชรในตาแมวเหล่านั้นก็สูญสลายหายไปหมด กลายเป็นส่วนหนึ่งของซากแมว เพราะความแวววาวเหมือนอัญมณีนั้นก็คือเลนส์ตาซึ่งเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของแมวเท่านั้นเอง

สิ่งที่เราเรียกว่าเพชรตาแมวนั้น แท้ที่จริงคือแมวที่มีความผิดปกติ คือเป็นโรคตาที่เรียกว่าต้อ เหมือนกรณีของคน อาการที่แสดงคือตาบวมโตขึ้น ตัวเลนส์จะมีสีขุ่นมัวและมีประกายออกมาเสียด้วย มองผาดๆ แล้วก็นึกว่าเป็นตาเพชร ความจริงคือแมวป่วยทางตาเท่านั้นเอง ไม่ใช่อาถรรพ์ของเพชรตาแมวที่ไหนเลยครับ

 
 
 
แมวดำ...แมวธรรมดาหรือน่ากลัว
 
 
แมวเป็นสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยงมานานแล้วและเป็นที่รักของหลายคน เพราะมีนิสัยขี้ประจบ แต่ก็เป็นตัวของตัวเอง


ลักษณะและสีของแมวมีความหมายในทางชีวภาพ แต่มนุษย์ก็มากำหนดสัญลักษณ์กันใหม่อีก แมวที่มีสีดำกลายเป็นเครื่องหมายแห่งความอัปมงคล คนส่วนใหญ่จึงเชื่อกันว่าแมวดำเป็นสัญลักษณ์แห่งความกลัวและภูติผีปีศาจ

แท้ที่จริงแล้วแมวดำก็คือแมวปกติชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง จะเป็นแมวไทยหรือแมวเทศก็เหมือนกัน ไม่มีคำอธิบายใดๆเลยที่จะบ่งบอกว่าแมวดำมีความร้ายกาจกว่าแมวสีอื่น อาจจะเป็นเพราะสีดำดูน่ากลัวน่าเกรงขาม คนเลยจับใส่ในเรื่องผีสางเสียเลย

มนุษย์มีธรรมชาติประหลาด ชอบแบ่งดำแบ่งขาว แบ่งเขาแบ่งเรา ในที่สุดก็เลยเถิดมาแบ่งสัตว์ให้เป็นสัตว์มงคลหรืออวมงคล ไม่ยุติธรรมและไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย อัปมงคลเกิดจากคน อย่าไปโทษแมวเลยครับ

 
 
ที่มา : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
สนุกกูรู http://guru.sanook.com/answer/read_question.php?q_id=50475
ศูนย์แบ่งปันความรู้ ม.น.ข
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กบ-จิ้งหรีดร้องทำไมหลังฝนตก?? ฝนตกน้ำไปท่วมรูที่มันอยู่ ทำให้ต้องออกมาตะเบงเสียง ซึ่งร้องกันตลอดเป็นปกติ แต่ฝนหยุดเสียงเงียบเราจึงได้ยินกัน

ทำไมกบ จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก?





ท่านที่อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ จะสังเกตได้ว่าฝนตกเมื่อไหร่ก็ตามจะได้ยินเสียงกบ จิ้งหวีด และสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆพากันร้องประสานเสียงกันระเบ็งเซ็งแซ่ไปทีเดียวเรื่องนี้คงมีคนสงสัยกันบ้างละว่าการร้องของกบและจิ้งหวีดไปเกี่ยวอะไรกับฝน







ความเชื่อที่ว่าจิ้งหรีดหรือกบร้องเฉพาะเวลาฝนตกหรือหลังฝนตกไม่ใช่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ดูเหมือนว่าพ้องกันข้อเท็จจริงก็คือเมื่อเกิดฝนตกน้ำฝนจะไหลท่วมรูที่กบและจิ้งหรีดอาศัยอยู่ทำให้พวกมันต้องออกมาข้างนอกและทำกิจกรรมที่ตามปกติจะทำในรูหรือในที่กำบัง เช่น หาอาหาร ผสมพันธุ์เป็นต้น จนดูเหมือนว่าฝนเป็นปัจจัยที่ทำให้กบหรือจิ้งหรีดส่งเสียงร้องความจริงเป็นการส่งเสียงตามปกติอยู่แล้ว แต่เราสามารถได้ยินด้วยก็เท่านั้นเองนอกจากนั้นความเงียบของโลกหลังฝนตกเป็นเหตุผลเสริมอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้ยินเสียงของสรรพชีวิตได้ดีเป็นพิเศษ


สรุปแล้วเป็นเรื่องของจิตใจและสัญชาตญาณของสัตว์โลกครับ สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณและความรู้สึกนึกคิดคล้ายกับเราที่เป็นมนุษย์เหมือนกันสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันโดยมีความจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวเสริม




ที่มา บทความเรื่อง ทำไมกบ จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก? วิทยาศาสตร์รอบตัวจาก สสวท
คัดลอกจาก ศูนย์แบ่งปันความรู้ ม.น.ข
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิ่งเร็วแค่ไหนถึงวิ่งบนน้ำได้? ต้องซอยเท้าสลับไปมาถึง 112km/h กิ้งก่าบาซิลิสก์(basilisk)วิ่งบนน้ำได้เพราะเท้ามันมีพังผืด หนัก6ขีด ตัวยาว80cm

เปิดโปง “วิชาตัวเบา ของเหล่าสัตว์จอมยุทธ์



ใครเป็นแฟนหนังกำลังภายใน คงเคยเห็นฉากที่บรรดาจอมยุทธ์ทั้งหลายวิ่งไล่ล่ากันบนผิวน้ำ ลีลาการโลดเล่นเหินเฉียดน้ำในหนังนี้ ใคร ๆ ก็รู้ว่าโม้แน่ แต่ครั้นจะบอกว่าไม่มีใครในโลกนี้ทำได้ ก็ออกจะด่วนสรุปไปหน่อย เพราะอย่างน้อยมีสัตว์ถึงสองชนิดที่มีวิชาตัวเบา สามารถเดิน (หรือวิ่ง) บนผิวน้ำได้เห็น ๆ


จอมยุทธ์ตัวแรกคือ จิงโจ้น้ำ เป็นแมลงที่เราคุ้นเคยกันดี มีขนาดสัก 5 มิลลิเมตร และตัวเบาสุด ๆ โดยไม่ต้องฝึกวิชา ทำให้แรงตึงของน้ำพยุงตัวไว้ได้ เจ้านี่ถ้าอยู่ในเมืองนอกฝรั่งก็เรียกแบบตรงไปตรงมาว่า water strider (นักย่างก้าวบนผิวน้ำ หรือ pond skater (นักสเกตบนสระน้ำ แต่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กัน คือใช้ขาสั้น ๆ คู่หน้าในการลอยตัวและจับเหยื่อเป็นอาหาร ใช้ขายาว ๆ คู่กลางวักน้ำเพื่อเคลื่อนที่ และใช้ขาคู่หลังเป็นทางเสือและเบรก


เห็นตัวเล็กแค่นี้ แต่จิงโจ้กลับเคลื่อนที่เร็วอย่างเหลือเชื่อถึง 100 เซนติเมตรต่อวินาที อย่างไรก็ตามจิงโจ้น้ำก็มีกรรม เพราะต้องเคลื่อนที่อยู่เกือบตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เป็นเป้านิ่ง เนื่องจากอาจถูกโจมตีได้จากทั้งปลาที่อยู่ในน้ำ และนกที่อยู่บนฟ้า


ความว่องไวของจิงโจ้น้ำยังดลใจให้นักวิจัยจาก MIT [ Massachusette institute of Technology ] สร้างแมลงหุ่นยนต์เลียนแบบรูปร่างและลีลา ซึ่งแม้จะเคลื่อนไหวได้เร็วพอสมควรถึง 30 เซนติเมตรต่อวินาที แต่ก็ยังแพ้แมลงจริงอยู่ดี



ส่วนจอมมยุทธ์อีกตัวหนึ่งคือ กิ้งก่าบาซิลิสก์ (basilisk) นั้นเราคงไม่คุ้นเคย เพราะเขาอยยู่ในป่าดิบชื้นแถบอเมริกาใต้โน่น เจ้ากิ้งก่านี้ยาวจากหัวทางประมาณ 60-80 เซนติเมตร แม้จะหนักเพียง 200-600 กรัม แต่เราตึงผิวของน้ำพยุงไว้ก็ไม่อยู่แน่ ดังนั้นถ้ามีอะไรทำให้มันต๊กกะใจ จอมยุทธ์บาซิลิสก์จะใช้เคล็ดวิชาพิสดารกางนิ้วเท้าซึ่งมีพังผืดออก แล้ววิ่งหน้าตั้ง สลับขาโกยแน่บพุ่งไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว


แม้ดูเผินๆ เหมือนวิ่งไปบนน้ำ แต่จริง ๆ แล้วแต่ละจ้ำที่ถีบลงไปนั้น ขาจะจมลึกลงไปใต้ผิวน้ำพอประมาณ และเกิดฟองอากาศโดยรอบชั่วขณะ ถ้ายกขาพ้นผิวน้าได้ทันก่อนฟองอากาศจะหายไป จอมยุทธ์กิ้งก่าตัวเก่งจะวิ่งได้ไกลกว่าตัวแก่ ๆ วึ่งใคงเป็นเพราะมีกำลังวังชาเยอะกว่านั่นเอง


ถ้าคนเราจะวิ่งไปบนผิวน้ำ ด้วยวิธีคล้ายกิ้งก่าบาซิลิสล่ะ จะต้องเร็วแค่ไหน คำถามนี้มีคนลองคำนวณดูแล้วพบว่าจะต้องซอยเท้าสลับไปมาเร็วถึง 112 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าแชมป์นักวิ่งระยะสั้นถึง 3 เท่า เพราะวิ่ง 100 เมตรในเวลา 10 วินาทีนั้นเท่ากับ 36 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ในนิยายกำลังภายใน ก๊วยเจ๋งฝึกพลัง 18 ฝ่ามือสยบมังกรอาวเอี้ยงฮงพลังคางคก ฮุ้นปวยเอี้ยงฝึกพลังไหมฟ้า (สัตว์ทั้งนั้น).......ยังงี้แสดงว่า ใครที่วิ่งบนผิวน้ำได้ก็ต้องฝึก “พลังกิ้งก่าบาซิลิสก์” แน่ ๆ.......ฮ่า....ฮ่า...ฮ่า (หัวเราะแบบตัวโกง)

A basilisk lizard, or Jesus lizard, runs across water during an experiment. These lizards can run across water for up to 15 feet (4.5 meters). Photograph courtesy PNAS


ทฤษฎีนำมาจาก ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ ฟิสิกส์ราชมงคลขอขอบคุณครับ
ที่มา : ฟิสิกส์ราชมงคล

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ยุงจะหึ่งๆทำไม? ยุงหึ่งจีบกันที่1,200Hz(รอบต่อวิ)สูงกว่าปกติ ซึ่งตัวผู้จะหึ่ง600Hz ตัวเมียหึ่ง400Hz คนวัยเด็กได้ยินถึง20,000Hzและลดลงเรื่อยๆ


"ย ยุง" แสนยุ่งกำลังหาคู่ (mating) คนไทยได้ยินเสียงยุงร้องเพลงดัง "วี้ วี้ วี้" ชาวอังกฤษได้ยินเสียงยุงร้องเพลงดัง "หึ่ง หึ่ง หึ่ง (buzz) > ออกเสียง [ บั้ส - ส(z) ]

คำ 'buzz' แปลว่า พูดคุย (มักเป็นเสียงต่ำๆ หรือเสียง "หึ่งๆ" คล้ายผึ้งบิน) หรือโทรศัพท์ได้ด้วย


เดิมนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ยุงตัวเมียเป็นหมัน (deaf) ทว่า... การค้นพบใหม่พบว่า ยุงตัวเมียไม่ได้เป็นหมัน แถมยังชอบฟัง "เสียงหล่อ" ของยุงตัวผู้อีกด้วย


คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐฯ ทำการศึกษาพบว่า ตอนแรกเจ้ายุงแสนยุ่งจะร้องเพลงจีบกันที่ความถี่ 1,200 เฮิร์ตซ์ (รอบต่อวินาที) สูงกว่าความถี่ปกติ ซึ่งตัวผู้จะร้องที่ 600 เฮิร์ตซ์ ตัวเมียจะร้องที่ 400 เฮิร์ตซ์


ธรรมดาของสัตว์ส่วนใหญ่คือ ตัวผู้มักจะสวยกว่า (มีสีสันมากกว่า) ตัวเมีย การศึกษาในยุงพบว่า เสียงตัวผู้ก็ "แหลม" กว่าเสียงตัวเมียอีกด้วย


เดิมนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ยุงได้ยินเสียงแหลมถึง 2,000 เฮิร์ตซ์ คนบางคนอาจได้ยินเสียงสูงถึง 20,000 เฮิร์ตซ์ตอนเด็กๆ เมื่ออายุมากขึ้น... ความสามารถในการได้ยินเสียงแหลมจะเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ การอยู่ในที่ที่เสียงดังนานๆ อาจทำให้หูเสียเร็วขึ้นได้

 
 
 
คัดลอกบางส่วนมาจาก ภาษาอังกฤษสบายๆ สไตล์เรา(ตอน5)
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=health2u&month=12-01-2009&group=1&gblog=107
โดย นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตัวเงินตัวทอง..ลางร้ายและอัปมงคล? สัตว์เลื้อยคลาน1 ช่วยทำประโยชน์อย่างมากด้วยกำจัดซากสิ่งมีชีวิตหลายชนิด นิเวศสมดุล ไม่ได้กำหนดร้าย-ดีอะไร

ตัวเงินตัวทอง...ลางร้ายและอัปมงคลทั้งปวง


ชื่อของตัวเงินตัวทอง ฟังแล้วก็เป็นมงคลดี แต่ทำไมตัวเงินตัวทองถึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของลางร้ายและสิ่งอัปมงคลไปได้ จนหลายคนกลัวนักทีเดียว



ตัวเงินตัวทอง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เหี้ย เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งที่มีธรรมชาติชอบกำจัดซากเน่าเสีย คือกินของเน่าเสียเป็นอาหาร สัตว์ชนิดนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคลก็เพราะชอบคลุกคลีกับสิ่งเน่าเหม็น ถือกันว่าเป็นสิ่งไม่ดีงาม


ความจริงแล้วตัวเงินตัวทองเป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีธรรมชาติเช่นนั้น และช่วยทำประโยชน์อย่างมากด้วยการกำจัดซากสิ่งมีชีวิตหลายชนิด รวมทั้งสิ่งที่มนุษย์ไม่อยากเข้าใกล้ ตัวเงินตัวทองจึงไม่ใช่สิ่งที่กำหนดให้ชีวิตของเราเกิดลางร้ายหรืออัปมงคลแต่อย่างใด


ที่มา : วิทยาศาสตร์รอบตัว (สสวท.)
ศูนย์แบ่งปันความรู้ (น.ม.ข.)
ภาพประกอบจาก น.ม.ข.