"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--

ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)



แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 140อักษร(บุคคลสำคัญ) แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 140อักษร(บุคคลสำคัญ) แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Nuclear fission--> Fritz Strassmann ไม่ได้ทำอะไร Nobel จึงเป็นของ Hahn คนเดียว ซึ่ง Meitner เป็นผู้คิด Hahn=ธาตุ105 Meitner=ธาตุ109

Lise Meitner มารดาของระเบิดปรมาณู
R.L. Sine รวบรวมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เหตุใด Meitner จึงสมควรได้รับรางวัลโนเบลร่วมกับ Hahn แต่ไม่ได้

บทความภาษาไทย จากวิชาการดอทคอม โดย ศาสตราจารย์ ดร.สุทัศน์ ยกส้าน
อ่านได้ที่ http://www.vcharkarn.com/varticle/76
บทความใกล้เคียงต้นฉบับ http://www.sdsc.edu/ScienceWomen/meitner.html
Lise Meitner ดาวน์โหลดเล่มเต็มๆ ไปอ่าน จาก กูเกิลอีบุ้ค
http://books.google.co.th/books?id=uPzZQzx-mkcC&printsec=frontcover&dq=Lise+Meitner&source=bl&ots=whQIEX5HCC&sig=1DemicFUjpm1s2ygYxONbdqDXp4&hl=th&ei=pPhWTNWsKYy8rAebk5nzAw&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=13&ved=0CE8Q6AEwDA#v=onepage&q&f=false

ซึ่งผู้เขียนบล็อกจะเรียบเรียงเป็นภาษาไทยต่อไป

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทฤษฏีสรรพสิ่ง? ไอน์ฯบอกไว้ก่อนจากว่า "read the mind of God" Steven Hawking มาต่อยอด เกิดจาก 4 สมการ 6 มิติ Nowรอคนมาไข http://bit.ly/bTeprZ

ทฤษฏีทุกสรรพสิ่ง ของปู่ไอน์สไตน์ แป้กแต่โดน??



I really wonder when i heard the meaning of theory of relativity, it's very carziest theory ever proposed..

Enistein spend 30 years on theory of relativity, but he couldn't explain. and it was unsuccessful..

If he had explained this theory ....it was to have been the ultimate achievement of 2,000 years of investigation into the nature of space and matter,

This is his third try..

His first theory of Special Relativity (1905) gave us E = mc², which led to the atomic bomb and unlocked the secret of the stars.....

His second great theory was General Relativity (1915), which gave us space warps, the Big Bang, and black holes......

But many don't realize that his greatest theory was never finished: "a theory of everything". Einstein's crowning achievement was to have been the unified field theory, an attempt to "read the mind of God"

Wonder theory ...

(Naked Science Forum)
 
 
ทฏษฏีเกิดขึ้นมาจากความพยายามรวมเอาสมการแรงทั้งสี่ชนิดไว้ด้วยกัน ซึ่งมีปัญหาการรวมแรง G เข้ากับแรงอื่นๆอีกสามแรง

ทฤษฎีสตริงจริงเสนอไว้นานแล้วแต่นักวิทยาศาสตร์ช่วงนั้นยังเชื่อเรื่องอนุภาคมูลฐานยังต้องเป็นอนุภาคอยู่ จึงไม่ได้ตีพิมพ์ ดังนั้นคนที่เสนอจึงต้องพยายามพิสูจน์ทฤษฏีนี้

ในที่สุดทฤษฏีนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่มันก็ยังมีปัญหาอีกคือ ทฤษฏีนี้สามารถพัฒนาออกมาได้เป็น 5 เวอร์ชั่น ซึ่งมีความถูกต้องเหมือนกัน (จากสมการ) ดังนั้น อันไหนละที่ถูกต้องกับจักรวาลที่เราอยู่ (นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแต่ละแบบอาจอธิบายจักรวาลในแบบต่างๆในมิติอื่นๆ คือมีเอกภพขนาน จากสมการบอกว่ามันมีอยู่ 6 มิติ)

นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำบางคนกล่าวว่า ทฏษฏีนี้ไม่มีทางพิสูจน์ได้ เพราะเขาเชื่อว่าต้องใช้พลังงานมหาศาลเหลือเกินในการที่จะตรวจสอบได้สตริงได้ บางท่านกล่าวว่าจะเรียกว่าทฤษฏีดีหรือปรัชญาดี เพราะ เป็นทฤษฏีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ซึ่งขัดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์

ก็ยังมีความพยายามพัฒนากันต่อไปละครับ จนกว่าจะหาทฤษฎีใหม่ที่อาจพิสูจน์ได้

 
 

 
Steven Hawking and The Theory of Everything

และ Kip S. Thorne คือเพื่อนของผู้ชายที่น่ามหัศจรรย์ผู้นี้
สตีเฟน ฮอว์คิง เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2485
ที่เมืองอ๊อกซฟอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ
ศึกษาสาขาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด
และรับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2505
ต่อมาได้เข้าศึกษาที่ทรินิตีคอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ในสาขาจักรวาลวิทยา และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตเมื่อปี พ.ศ. 2509
หลังจากนั้นก็ได้รับการคัดเลือกเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด

แต่ก่อนที่เค้าจะเรียนจบ สตีเฟน ฮอว์คิง ก็มีอาการที่เรียกว่า
amyotrophic lateral sclelar (ALS)
อันเป็นอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ
โดยมีผลกับประสาทสั่งการ (motor neurons)
ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต
หมอบอกว่าเค้าจะมีอายุต่อไปอีกไม่เกิน 1-2 ปี
แต่เขายังคงทำงานวิชาการต่อไป และมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้

งานที่ทำให้เค้าโด่งดังคือ การศึกษาเรื่องหลุมดำ
หลุมดำเป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดในจักรวาลนี้
มันมาจากสมการของไอน์สไตน์ที่กล่าวว่า
แสงนั้นมีความเร็วคงที่ และเดินทางเป็นเส้นตรง
แต่มีผ่านโค้งของอวกาศที่ถูกสร้างโดยสนามแรงโน้มถ่วงของมวลขนาดใหญ่
แสงนั้นสามารถบิดงอได้ เมื่อมีมวลมากจนถึงจุดหนึ่ง
แรงโน้มถ่วงจะมาก จนแม้แต่แสงก็ยังไม่สามารถผ่านออกมาได้
และทุกอย่างจะสูญหายไปในหลุมดำนั้น

แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่อยากจะเชื่อว่า เรื่องนี้จะเป็นไปได้
แต่มันก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว ว่ามันมีอยู่จริง

นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อมาอย่าง สตีเฟน ฮอว์คิง เชื่อว่า
ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะถูกดูดหายเข้าไปในนั้น
หลุมดำมีการปลดปล่อย sub-atomic particle ออกมา
ที่ทุกวันนี้เรียกว่า Hawking radiation
และเค้าได้พยายามที่จะศึกษามันต่อไป เพื่อไขความลับของหลุมดำออกมา

นานมาแล้วที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง กับตำนานใต้ต้นแอปเปิ้ลของเค้า
ได้สร้างกฏฟิสิกส์ที่โด่งดังที่สุด และเราก็ยังใช้มันมาถึงทุกวันนี้
มันสามารถใช้สร้างยานอวกาศ อธิบายถึงวงโตจรของดาวเคราะห์
น้ำขึ้น น้ำลง ด้วย กฏของนิวตั้น

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เราเริ่มศึกษาสิ่งที่อยู่ไกลออกไปนอกสุริยะจักรวาล
สิ่งที่มีความเร็วมากขนาดใกล้เคียงแสง กฏของนิวตั้นไม่อาจใช้อธิบายได้อีกต่อไป
จึงเกิดนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่คนที่สอง ที่เรารู้จักกันในนาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ผู้ที่คิดค้นที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพ
พูดถึงพลังงานและสสาร โดยเพิ่มความรับรู้ของเราไปยังอีกหนึ่งมิติ
มิติที่สี่ มิติแห่งกาลเวลา แต่ทั้งสองทฤษฏีที่เป็นระเบียบและสวยงามนี้
กลับใช้ไม่ได้กับสิ่งที่เล็กจิ๋วอย่างอะตอม
ซึ่งต้องใช้อีกทฤษฏีหนึ่งอธิบายของธรรมชาติของมัน
ซึ่งแทบจะก้าวข้ามความรับรู้ของมนุษย์ธรรมดาออกไป
กับความไม่แน่นอนของ กลศาสตร์ควอนตัม

แล้วทำไมเราต้องใช้หลายทฤษฏีมาอธิบายด้วยล่ะ ???
ในเมื่อทุกสิ่งในจักรวาลล้วนก่อกำเนิดมาจากจุดเดียวกัน
จะมีทฤษฏีใดใหมที่สามารถอธิบายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ตั้งแต่สิ่งที่เล็กจิ๋วอย่าง อิเลคตรอน ไปจนถึงสิ่งที่ใหญ่มากอย่าง กาแล๊กซี่
ที่เราเรียกมันว่า ทฤษฏีทุกสรรพสิ่ง

ที่มา : Science Geek Club
Book : Steven Hawking and The Theory of Everything
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปี1888ฟรายด์ริช ไรนิตเซอร์ วิจัยไขมันพืช พบสารตัวหนึ่ง เย็นตัวเป็นสีขุ่น เย็นอีกใส เย็นถึงจุดสีน้ำเงิน จนเป็นผลึกเหลว เทคโนฯพาเขาไม่ไม่ถึง?? // จากผลึกเหลว จอร์จ ฮีลเมียร์ นำมาทำเป็นหน้าปัดนาฬิกา ปี1963 และ เจมส์ เฟอร์กาสัน นำมาผลิตเป็นจอ LCD ใช้หลักเบี่ยงเบนแสงจ่อเข้าหาผลึก ในปี1969


ในปี ค.ศ. 1888 นายฟรายด์ริช ไรนิตเซอร์ (Friedrich Reinitzer) เป็นนักพฤกษศาสตร์ ชาวออสเตรีย ขณะที่เขาศึกษาสารไขมันจากพืช ชั่วข้ามคืนเท่านั้น เขาพบสารชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายโคเลสเตอรอล อยู่ในสภาวะละลายเป็นของเหลวในภาวะที่มีความร้อน พอเย็นตัวลงก็กลายเป็นสารสีขุ่น และเมื่อเย็นลงอีกก็กลายเป็นสีใส พอเย็นตัวถึงจุดหนึ่ง กลับเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินและตกผลึก ซึ่งเป็นผลึกเหลว นำมาใช้สร้างจอแอลซีดีหน้าปัดนาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอล หน้าจอเครื่องคิดเลขหน้าจอเครื่องแฟกซ์ จอคอมพิวเตอร์ จอทีวีที่ติดตั้งในรถยนตร์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือ และแม้แต่จอทีวีขนาดใหญ่


ตัวจอเหล่านี้มีคุณสมบัติในการทำงานที่อาศัยการเบี่ยงเบนของแสง สามารถปรับหรือขยับให้แสงเข้าหน้าปัดจอได้มากน้อยตามต้องการ



ผู้ที่นำการค้นพบผลึกเหลวมาพัฒนาขยายผลก็คือนายจอร์จ ฮีลเมียร์ (George Heilmeier) ในปี ค.ศ. 1963 เริ่มใช้กับหน้าปัดนาฬิกาเป็นครั้งแรกต่อมาในปี ค.ศ. 1969 นายเจมส์ เฟอร์กาสัน (James Fergason) ได้นำหน้าปัดแอลซีดีมาพัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และขยายผลในการใช้สู่จอต่างๆใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกในทุกวันนี้



 
ที่มา: หนังสือ MK พาปิ๊ง! ไอเดียซิ่ง...ในสิ่งที่ไม่ธรรมดา
เด็กดีดอทคอม, ศูนย์ความรู้ นมข.
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โดเรม่อนกินโดรายากิแล้วถ่ายตรงไหน?? โดรายากิจะเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า บรรจุในเซลล์ใช้ขับเคลื่อนกลไกต่อไป ไม่มีการขับถ่าย / ทำไมต้องโดราเอม่อน?? ตัวละครหุ่นยนต์แมว คำผสม "โดราเนโกะ" กับ "เอมอน" ในภาษาญี่ปุ่น โดราเนโกะ=แมวหลงทาง "เอมอน"คำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชาย


Doraemon (โดราเอมอน)



โดราเอมอน หรือ โดเรมอน เป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน เป็นหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคต ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 22เกิดวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2655 (ค.ศ. 2112) ลักษณะตัวอ้วนกลมสีฟ้า (เมื่อแรกเกิดมามีสีเหลือง) ไม่มีใบหู เนื่องจากถูกหนูแทะ มีหน้าที่เป็นหุ่นยนต์พี่เลี้ยงซึ่งคนที่ซื้อโดราเอมอนมาคือเซวาชิเหลนชาย ของโนบิตะ วันหนึ่งเซวาชิเกิดอยากรู้สาเหตุที่ฐานะทางบ้านยากจน จึงได้กลับไปในอดีตด้วยไทม์แมชชีน จึงได้รู้ว่าโนบิตะ (ผู้เป็นปู่ทวด) เป็นตัวต้นเหตุ เซวาชิจึงได้ตัดสินใจให้โดราเอมอนย้อนเวลาไปคอยช่วยเหลือดูแลเวลาโนบิตะโดน แกล้งโดยใช้ของวิเศษที่หยิบจากกระเป๋าสี่มิติ





โดราเอมอนเคยได้รับเลือกจากนิตยสารไทม์เอเชีย ให้เป็นหนึ่งในวีรบุรุษของทวีปเอเชีย และในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551 มาซาฮิโกะ คามูระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้แต่งตั้งให้โดราเอมอนเป็นทูตสันถวไมตรีอย่างเป็นทางการ เพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมของประเทศ โดยนับเป็น "ทูตแอนิเมชัน" ตัวแรกของประเทศญี่ปุ่น
(เนื้อข่าว www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9510000033519  )



แรงบันดาลใจ


ตัวละครโดราเอมอนนั้น ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2512 เนื่องจากนักวาดการ์ตูนทั้ง 2 ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ได้ลงโฆษณาการ์ตูนเรื่องใหม่ของเขาทั้งสองไว้ว่าจะมีตัวเอกที่ออกมาจาก ลิ้นชัก ในนิตยสารการ์ตูนฉบับต้อนรับปีใหม่ แต่ในความจริงแล้วทั้งสองยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้แม้แต่ น้อยเลย เมื่อใกล้ถึงเวลาส่งต้นฉบับก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับทั้งสองเป็นอย่างมาก





ฮิโรชิ ฟุจิโมโตะ หนึ่งในนักวาดการ์ตูน ได้เผอิญเห็นแมวจรจัดที่มักแอบเข้ามาเล่นที่บ้านของตนเองเป็นประจำ เขามักจะชอบจับแมวตัวนี้มาหาหมัด จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4.00 น. ก็ยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องใหม่ ทำให้ฮิโรชิโมโหตัวเองเป็นอย่างมาก และคิดเลยเถิดไปว่าโลกนี้น่าจะมีไทม์แมชชีน เพื่อย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต หลังจากนั้นฮิโรชิได้เผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้า เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำให้เขาตกใจว่าตนเองเผลอหลับไป จึงรีบวิ่งลงจากบันไดบ้านไปสะดุดกับตุ๊กตาล้มลุกญี่ปุ่นของลูกสาวที่ตกอยู่ บนพื้น


เหตุนี้เองทำให้ฮิโรชิเกิดไอเดียขึ้นโดยนำหน้าแมวจรจัดมาผสมกับตุ๊กตา ญี่ปุ่น สร้างออกมาเป็นตัวละครหุ่นยนต์แมวจากอนาคตคอยช่วยเหลือเด็กชายที่แสนจะไม่ ได้เรื่อง และตั้งชื่อว่า โดราเอมอน เป็นคำผสมระหว่าง "โดราเนโกะ" กับ "เอมอน" ในภาษาญี่ปุ่น โดราเนโกะนั้นแปลว่าแมวหลงทาง ส่วนคำว่า "เอมอน" เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อนของประเทศญี่ปุ่น



ต้นกำเนิดของโดราเอมอน



โดราเอมอนถูกผลิตขึ้นในโรงงานสร้างหุ่นยนต์ที่เมืองโตเกียว เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2112 (พ.ศ. 2655) แต่ในระหว่างการผลิตเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ทำให้โดราเอมอนมีคุณสมบัติไม่เหมือนหุ่นยนต์แมวตัวอื่น ต้องเข้ารับการอบรมในห้องเรียนคลาสพิเศษของโรงเรียนหุ่นยนต์ (และได้พบกับเพื่อนๆ แก๊ง ขบวนการโดราเอมอน ที่นั่น) จนกระทั่งวันหนึ่ง ในงาน "โรบ็อต ออดิชัน" ซึ่งเป็นงานที่จัดให้มีการแสดงความสามารถของหุ่นยนต์ที่ได้ผ่านการอบรมแล้ว ด้วยความซุกซนของเซวาชิในวัยเด็ก เขาจึงได้กดปุ่มเลือกซื้อโดราเอมอนมาไว้ที่บ้าน ด้วยเหตุนี้ โดราเอมอนจึงได้มาอยู่อาศัยที่บ้านของเซวาชิ ในฐานะของหุ่นยนต์เลี้ยงเด็ก แต่ในต้นฉบับดั้งเดิมนั้นจะแตกต่างกัน คือ โดราเอมอนได้ถูกนำไปขายทอดตลาด เพราะเป็นสินค้าไม่ได้คุณภาพ จากนั้นพ่อแม่ของเซวาชิจึงมาซื้อโดราเอมอนไปไว้ที่บ้าน



แต่เดิมนั้นตัวโดราเอมอนมีสีเหลือง และมีหู แต่แล้วในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2122 ขณะที่โดราเอมอนหลับอยู่นั้น ใบหูก็โดนหนูแทะจนแหว่งไปทั้ง 2 ข้าง และไม่สามารถซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้ หลังจากรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หุ่นยนต์แมว "โนราเมียโกะ" แฟนสาวของโดราเอมอนก็มาเยี่ยม แต่พอทราบว่าโดราเอมอนไม่มีหู เหลือแต่หัวกลม ๆ โนราเมียโกะถึงกับหัวเราะเป็นการใหญ่ ทำให้โดราเอมอนเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามทำใจด้วยการดื่มยาเสริมกำลังใจ แต่ว่าโดราเอมอนหยิบผิดกินยาโศกเศร้าแทน ทำให้โศกเศร้ากว่าเดิม และเริ่มร้องไห้ไม่หยุดอยู่ริมชายหาด3วัน3คืน จนสีลอกเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอย่างที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน หลังจากนั้นโดราเอมอนจึงเกลียดและกลัวหนูเป็นอย่างมาก และไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเกี่ยวกับเรื่องความรัก




นอกจากนั้น โดราเอมอนยังมีน้องสาวชื่อโดรามี ที่จริงก็แค่ใช้เศษเหล็กแบบเดียวกันในการผลิต แต่โดเรมีใช้น้ำมันรุ่นใหม่ ขณะที่ผลิตโดราเอมอนอยู่ได้ทำชิปหล่นหายไป 1 ส่วน จึงทำให้หยิบของวิเศษผิดพลาดบ่อยๆ



 
 
 
 
 
ตอนจบของโดราเอมอน


พล็อตเรื่อง โดราเอม่อนตอนจบนั้น ตามที่ได้ทราบกันดีนั้น คือมีที่มาจากฟิกชั่น ที่ถูกเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ทั้งในรูปแบบ แฟนฟิคชั่น ข่าวลือ หรือ เมล์ลูกโซ่ โดย พล็อตนั้นก็มีหลายหลาย ส่วนมากที่พบจะเกี่ยวกับ ความตาย, ความฝัน, อุบัติเหตุ ซึ่งที่พบเห็นบ่อย ก็จะมีอยู่ใน 3 รูปแบบ คือ

* โนบิตะ เป็นคนสร้างโดราเอม่อน
* โนบิตะ ป่วยเป็นโรคร้ายแรง
* เรื่องทั้งหมดของโดราเอม่อน เป็นเรื่องที่โนบิตะฝันไปเอง

ซึ่งที่ยังหลงเหลือในปัจจุบัน คือพล็อตแรก โนบิตะเป็นคนสร้างโดราเอม่อน และ โนบิตะป่วยเป็นโรคร้ายแรง+ฝันเรื่องโดราเอม่อนไปเอง แต่อย่างไรก็ดี โดราเอม่อนตอนจบทุกแบบนั้น ล้วนแต่เป็นเพียงเสียงเล่าอ้าง และไม่มีหลักฐานใดๆอย่างชัดเจน



จริงแล้วนั้นโดราเอม่อนนั้นเคยจบไปแล้วหนึ่งครั้ง ในจะเป็นตอนสุดท้ายของรวมเล่ม ที่ 6 ชื่อตอนว่า ลาก่อนโดราเอม่อน แต่สุดท้ายแล้ว เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งแฟนๆ และ อ.ฟุจิโกะผู้เขียน โดราเอม่อนก็จึงได้กลับมาใหม่อีกครั้ง

ที่มาของโดจินชิ โดราเอม่อน ตอนจบ การ์ตูนชุดนี้เป็นงานโดจินชิ (การ์ตูนทำมือ) ที่วาดโดย อ.ทะจิม่า ยาสุเอะ (Tajima Yasue) ในชื่อกลุ่ม ว่า GA-FAKE COTERIE โดยใช้โครงเรื่องจากฟิกชั่นเกี่ยวกับตอนจบของโดราเอม่อน ที่แพร่กระจายตามเมล์ลูกโซ่ (หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า Forward Mail) ซึ่งเริ่มวางขายครั้งแรกในงาน Comic Market ฤดูร้อน ครั้งที่ 68 ช่วงวันที่ 12-13 สิงหาคม 2548







และหลังจากนั้น ในงาน Comic Market ครั้งต่อมา (C69) ฤดูหนาว ช่วงวันที่ 29-30 ธันวาคม 2548 ผลงานชิ้นนี้ก็ได้รับความสนใจจากแฟนๆโดราเอม่อน จนเริ่มมีการเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นที่กว้างขวาง และปัจจุบันก็ยังมีผู้ให้ความสนใจ จนหนังสือขาดตลาด และต้องพิมพ์ซ้ำอีกครั้ง




แต่อย่างไรก็ตาม ผลงานนี้เป็นเพียงที่เขียนเพื่อเป็นที่ระลึกในการสร้างอะนิเมะฉบับหนังโรง (โนบิตะกับพีสุเกะ 2006)ด้วยความที่เป็นแฟนโดราเอมอนของ อ.ทะจิม่า เท่านั้น เพราะฉะนั้นตอนจบที่แท้จริงของโดราเอมอนจึงไม่มีแต่อย่างใด ซึ่งนับว่าหาได้ยากและถือเป็นการ์ตูนในตำนานเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

กลไกของโดเรม่อน





ข้อมูลประกอบ :
วิกิฯ โดราเอมอน (ตัวละคร) http://bit.ly/bD7Xkh
วิกิฯ โดราเอมอน (กำเนิด) http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%99
วิกิฯ รายชื่อของวิเศษ http://bit.ly/2447zC
วิกิฯ โดรายากิ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4
อ่านเรื่องและดาวน์โหลดคลิปโดเรมอน http://nostale.vplay.in.th/webboard/viewtopic.php?f=2&t=38762
กำเนิดโดเรม่อน 2012 http://www.weloveshopping.com/template/e7/show_article.php?shopid=177482&qid=68490
ไทยโดเรม่อน : http://th.wikipedia.org/wiki/โดเรมอน

ที่มาจากสนุกดอทคอม http://campus.sanook.com/ต้นกำเนิดโดเรมอน-doraemon-921419.html
แฟนเพจโดเรมอน http://www.siamdora.com/dora/cartoons_home.aspx
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โลกมีมากกว่า845ภาษา "ภาษาโลก" ชื่อว่า "Esperanto(เอสเปรันโต)" จึงถูกคิดขึ้นโดย ดร.แอล.ซาเมนฮอป แต่ล้มเหลว เพราะมหาอำนาจไม่ปลื้ม แต่มีใช้อยู่

ภาษาโลก คิดแล้ว แต่ล้มเหลว..!!


โลกหลากภาษา

จากการสำรวจ พบว่าทั่วโลกมีภาษาแตกต่างกันถึง 5,000 ภาษา ภาษาที่ใช้กัน มากที่สุดในโลกคือ ภาษาจีน มีคนพูดภาษานี้ ถึงพันล้านคนเศษ รองลงมาคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี

ที่ปาปัวนิวกินีประเทศเดียว มีภาษาพื้นเมือง อยู่ประมาณ 700 ภาษา ในประเทศอินเดีย

มีภาษาแตกต่างกัน อย่างน้อย 845 ภาษา เฉพาะที่รัฐอัสสัม ซึ่งอยู่ทาง ตะวันออกเฉียงเหนือ ของอินเดีย ก็มีภาษาพูด นับร้อยภาษาแล้ว


มีผู้พยายาม สร้างภาษาโลก (world language) ที่คนทั้งโลก สามารถสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องมี กำแพงภาษา นั่นคือ ภาษาเอสเพอแรนโต (Esperanto) ผู้คิดค้นคือ นักภาษาศาสตร์ และแพทย์ชาวรัสเซีย ชื่อ ดร. แอล. ซาเมนฮอป แต่ความตั้งใจของเขา ไม่บรรลุผล


แนวคิดของภาษาโลกได้มีการคิดและประดิษฐ์มามากมายหลายภาษา แต่ภาษาประดิษฐ์ที่มีคนใช้อยู่จริงในปัจจุบันก็เป็นภาษาเอสเปรันโตนี่แหละครับ หลายๆท่านอาจรู้สึกว่า "จะคิดภาษาโลกขึ้นมาทำไมให้วุ่นวาย เอาภาษาอังกฤษ หรือภาษาอะไรก็ได้มาเป็นภาษาสากลดีกว่า จะคิดใหม่ทำไม" ก็เป็นความคิดที่ถูกต้องนะครับ แต่จะต้องมีประเทศอื่นๆไม่ยอมรับแน่นอน เพื่อความยุติธรรมศึกษาภาษาที่คิดขึ้นใหม่เลยดีกว่า และทำให้ความได้เปรียบทางภาษาของชาติมหาอำนาจหมดไป



ด้วยความง่ายของภาษาเอสเปรันโต ผมคาดว่าในอนาคตชาวโลกจะหันมาใช้ภาษาเอสเปรันโตกันมากขึ้น และเป็นภาษาที่สองของนานาประเทศตามความตั้งใจของ แอล.แอล. ซาเมนฮอฟ



มาดูตัวอย่างภาษาเอสเปรันโตกันครับ

Mi amas vin = ฉัน(กำลัง)รักคุณ
Mi amis vin = ฉัน(เคย)รักคุณ
Mi amos vin = ฉัน(จะ)รักคุณ
Vi amu min = คุณรักฉันซะ(เป็นคำสั่ง)

เอาไปใช้จีบสาวได้นะครับ เท่ห์ไปอีกแบบ
เอ้า....อย่ามัวช้าอยู่ รีบไปบอกรักเร็วเข้า!



ประวัติภาษา Esperanto


เอสเปรันโตคิดค้นขึ้นช่วงปลาย คริสต์ทศวรรษ 1870 และต้น คริสต์ทศวรรษ 1880 โดย แอล.แอล. ซาเมนฮอฟ ในช่วงเวลาพัฒนา 10 ปีนั้น ซาเมนฮอฟได้ใช้เวลาในการแปลวรรณกรรมต่างๆ มาเป็นภาษาเอสเปรันโต รวมทั้งการเขียนและพัฒนาหลักไวยกรณ์ต่างๆของภาษา โดยหนังสือไวยกรณ์เล่มแรกในภาษาเอสเปรันโต ชื่อ อูนูอาลิโบร (Unua Libro ความหมายในภาษาเอสเปรันโตว่า หนังสือเล่มแรก) ตีพิมพ์ที่ วอร์ซอว์ ในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2430 ซึ่งหลังจากนั้นจำนวนผู้ใช้ภาษาเติบโตขึ้นอย่างรวเร็วภายใน 20 ปีต่อมา โดยเริ่มต้นจากจักวรรดิรัสเซีย และ ยุโรปตะวันออก และได้เข้าสู่ ยุโรปตะวันตก อเมริกา ประเทศจีน และ ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2448 การประชุมเอสเปรันโตโลก ได้จัดตั้งขึ้น โดยจัดครั้งแรกที่เมือง บูลอน ซู แมร์ (Boulogne-sur-Mer) ในประเทศฝรั่งเศส และหลังจากนั้นมีการจัดประชุมกันทุกปี (ยกเว้นช่วงสงครามโลก) โดยเปลี่ยนสถานที่จัดไปทั่วโลก


ปล. ในภาพยนตร์แนวไซไฟ หรือแนวอนาคต ที่มีบางส่วนเป็นภาษา Esperanto เช่น เรื่อง Gattaca ของ Andrew Niccol และ Blade: Trinity ฯลฯ



สนใจศึกษาภาษาEsperanto
ศึกษาไวยากรณ์ภาษาเอสเปรันโต
เอสเปรันโต ประเทศไทย
Lernu.net เว็บสอนภาษาเอสเปรันโต (อังกฤษ)
บริการฟรีแปลคำศัพท์ ประโยค และเว็บไซต์เป็นภาษาเอสเปรันโต (อังกฤษ)

เรียนภาษาโลก http://wwwtios.cs.utwente.nl/esperanto/hypercourse

ที่มา : กูเกิลกูรู
108 ซองคำถาม,เรียบเรียงจากอินเตอร์เน็ต
รูปภาพประกอบเรื่องจากอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ในหลวงฯ ทดลองนำน้ำมันปาล์มกลั่นมาใช้กับรถยนต์ส่วนพระองค์ สำเร็จเป็นอย่างดี ได้รับสิทธิบัตรNo.10764(อำพล เสนาณรงค์ ผู้แทนฯ) ทรงพระเจริญ _/I\_


ประเทศไทยเริ่มศึกษาแนวทางการนำน้ำมันปาล์มมาใช้งานแทนน้ำมันดีเซลตั้งแต่ปี 2528 ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยปัญหาผลผลิตปาล์มล้นตลาดของเกษตรกร และผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ขนาดเล็กขึ้นที่จังหวัดนราธิวาส รวมทั้งมีการวิจัยและพัฒนาพร้อมทดลอง



นำน้ำมันปาล์มมาใช้กับเครื่อยนต์ดีเซล การทดลองใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์ ในรถยนต์เครือ่งยนต์ดีเซลของกองงานส่วนพระองค์ ฯลฯ จนประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีในวันที่ 9 เมษายน 2544 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี เป้นผู้แทนพระองค์ยื่นของจดสิทธิบัตร “การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล” ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ได้ลงประกาศโฆษณาเมื่อวัน 18 เมษายน 2544 และรับจดทะเบียนในวันที่ 26 กรกฎาคม 2544 โดยมีหมายเลขสิทธิบัตรที่ 10764


สำหรับน้ำมันดีเซลปาล์ม (บริสุทธิ์) ที่จำหน่ายในประเทศไทย คือน้ำมันดีเซลผสมกับน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 โดยปริมาตร ซึ่งได้คุณภาพเช่นเดียวกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามข้อกำหนดของกรมธุรกิจพลังงานทุกประการ รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลสามารถเติมน้ำมันดีเซลปาล์ม (บริสุทธิ์) ผสมกับน้ำมันที่เหลือในถังได้เลยไม่ต้องรอให้น้ำมันหมดถัง และผู้ใช้รถไม่ต้องปรับแต่งเครื่องยนต์แต่อย่างใดเพราะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเครื่องยนต์ ทั้งยังช่วยเพิ่มการหล่อลื่น ช่วยป้องกันการสึกหรอของปั๊มหัวฉีดและลดมลพิษในไอเสียของเครื่องยนต์อีกด้วย


คุณลักษณะที่สำคัญของน้ำมันดีเซลปาล์ม (บริสุทธิ์) ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล ตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน ได้แก่

อ่านต่อ http://www.vcharkarn.com/varticle/374

ที่มา : ต่อยอดจากคำถามพลังงานพืชแต่ละชนิดได้กี่จูล พบเรื่องจากคำค้นกูเกิล

"อาร์คีมีดิส" นักปราชญ์กรีก อาบน้ำแล้วสังเกตเห็นว่า น้ำในอ่างที่ล้นออกมา=น้ำหนักตัวแก พลันดีใจเปลือยวิ่งไปตะโกนไปว่า"ยูเรก้า"แปลว่า บังเอิญ

"ยูเรก้า" คืออะไร


คุณ ๆ ผู้อ่านคงเคยนึกออกคำว่า"ยูเรคา" มาบ้างแล้วนะครับ ที่ความเป็นคนขี้ร้อนของ อีตา "อาร์คีมีดีส" นักปราชญ์โบราณชาวกรีก ที่แกแก้ผ้าลงไปแช่ในอ่างทำให้แกค้นพบความ จริง โดย บังเอิญ จนต้องลุกขึ้นวิ่งโทง ๆ โวยวายออกมาด้วยความดีใจจนแทบไม่เป็นภาษา มนุษย์ ว่า "ยูเรคา !..ยูเรคา..."นั่นก็คือ แกบังเอิญสังเกตุเห็นว่าขณะที่ลงไปอยู่ในน้ำ น้ำในอ่าง ได้ล้น ออกมา มีปริมาตรเท่ากับตัวแกที่ลงไปแทนที่น้ำ จะมีน้ำหนักเท่ากับตัวแกเองอีกด้วย ซึ่งผลอัน นี้จึงทำให้ จับกลโกงของช่างทองที่ทำมงกุฎได้การค้นพบในครั้งนั้นยังมีประโยชน์ใน การปรับ แต่งกำลัง ลอยของนักดำน้ำ โดยการใช้หลักการเช่นเดียวกับอาร์คิมีดีส ทั้งนี้เพื่อให้ การเคลื่อน ไหวใต้น้ำ เป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น การปรับแต่งน้ำหนักของนักดำน้ำโดยการใช้ ตะกั่วถ่วง ซึ่ง การหาจำนวนน้ำหนักถ่วง เพื่อปรับแต่งกำลังลอยให้สมดุล (NeutralBuoyancy)





ที่มา : กูเกิลกูรู
(บทความต้นเรื่อง : คุยเฟื่องเรื่องดำน้ำ http://www.navy.mi.th/navic/document/850206b.html )
(บทความต่อยอด http://www.wattanachurch.org/index.php?option=com_content&view=article&id=232%3A2009-07-29-09-37-31&catid=42%3A2009-07-23-04-43-46&Itemid=88&lang=th )

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุณชีสโบรก์ เจ๊งธุรกิจน้ำมันก๊าด ปี 2402 ไปได้ขี้ผึ้งจากหัวแท่นเจาะฯ หมกตัวกรีดตัวเองขี้ผึ้งทาแล้วหาย "วาสลีน" จึงเกิดขึ้น

เยลลีรักษาโรค กำเนิด ขึ้ผึ้ง "วาสลีน"


ขณะเดินทางกลับบ้าน ในปี พศ. 2402 โรเบิร์ต ชีสโบรก์ รู้สึกสิ้นหวังกับความล้มเหลวของตนเอง เขาเริ่มขายน้ำมันก๊าด เมื่ออายุได้ 27 ปี ด้วยความมั่นใจว่าจะทำเงินได้ดี แต่น้ำมันก๊าดกลับเป็นสินค้าราคาแพง จากนั้นจึงเดินทางกลับรัฐเพ็นซิลเวเนีย โดยหวังจะแทรกตัวเข้าไปในธุรกิจตลาดน้ำมันดิบ แต่ราคาน้ำมันดิบก็กลับพุ่งสูงจนน่าตกใจ ชีสโบร์ก อยู่ในสภาพตกงานโดยปริยาย ช่วงนั้นเขาคบหาเป็นเพื่อนกับพวกพนักงานฐานขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งเคยเล่าให้เขาฟังถึงสารเหนียวเหนอะหนะตัวหนึ่งที่เกิดจากกการขุดเจาะ สารที่เรียกว่าขี้ผึ้งแท่งมักจะเกาะอยู่ที่แท่นหัวเจาะจนขยับขึ้นลงไม่ค่อยได้ แต่มีคุณสมบัติในการรักษาโรค ชีสโบร์กตักขี้ผึ้งแท่งใส่ลงถังเพื่อนำกลับบ้าน หากเทียบกับเงินที่เขาเคยหวังว่าจะหาได้ก่อนหน้านี้ ผลตอบแทนจากขี้ผึ้งแท่งคงน้อยนิดจนแทบจะไม่มีค่า


ในช่วงทศวรรษ 1860 ขณะที่จอห์น ร็อกกีเฟลเลอร์โกยเงินมหาศาลจากธุรกิจน้ำมันชีสโบร์ก กลับหมกตัวอยู่ในห้องปฏิบัติการใต้ถุนบ้าน แล้วใช้ตัวเองเป็นหนูทดลองด้วยการกรีดแขนและเผาผิวหนังตัวเอง จากนั้นก็นำขี้ผึ้งแท่งที่สกัดจนเป็นเยลลี่ทาทั่วแผล เมื่อเห็นว่าแผลหายโดยไม่มีการติดเชื้อ (เยลลี่ซึ่งไม่มีสีและกลิ่นสามารถป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าแผลได้) เขาเริ่มผลิตขี้ผึ้งออกมาจำนวนมาก และเรียกผลิตภัณฑ์นี้ว่า “วาสลิน” จากนั้นจึงบรรจุลงตลับขนาด28 กรัม และขายตลับละหนึ่งเซนต์

แม้สรรพคุณจะดีจริง แต่คนก็ยังไม่นิยมซื้อ ชีสโบร์กจึงเดินแจกตัวอย่างตามสถานที่ก่อสร้างในนครนิวยอร์ก รวมทั้งขับรถม้าท่องไปตามเมืองต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของขี้ผึ้งด้วยการป้ายลงบนแผลที่ใช้มีดกรีดสด ๆ หรือไม่ก็เอาไฟเผา จากนั้น จึงแจกขี้ผึ้งให้ไปใช้เป็นตัวอย่าง

เมื่อถึงปี 2417 ขี้ผึ้งของชีสโบร์กขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นอกจากใช้ทาแผลถูกของมีคมบาด หร์อไฟลวกแล้ว ผู้คนยังนำไปทาถูเครื่องเรือนไม้ หนังที่แห้งแตกลาย เครื่องมือทำสวนที่เป็นสนิม เบ็ดตกปลา และริมฝีปากที่แห้งแตก ของไร้ค่าจากน้ำมันดิบช่วยสร้างธุรกิจจนเติบโตมีอนาคตไกล และกลายเป็นฐานรากสำคัญของอาณาจักรชีสโบร์กพอนด์ในช่วงหลายสิบปีต่อมา หลังจากนั้นชีสโบร์กเดินหน้าลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และลงสมัครชิงตำแหน่งการเมือง(เขาแพ้เลือกตั้ง)แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังผูกพันกับงานค้นพบชิ้นแรกของตัวเอง เขากินวาสลินหนึ่งช้อนพูนทุกเช้า โดยอ้างว่าช่วยให้เขารอดพ้นเงื้อมมือพญายมมาได้ 96 ปี เป็นที่น่าสังเกตว่า ร็อกกีเฟลเลอร์ไม่เคยทำแบบนี้ แต่มีชีวิตยืนยาวถึง 98 ปี




ที่มา : อัจฉริยะโดยบังเอิญ โดย SHEA DEAN
ใน Reader’s Digest สรรสาระ ฉบับประจำเดือนเมษายน 2547 หน้า 62-65
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"Fool's Gold" เป็นชื่อเรียกสินแร่หลายชนิดที่สีเหลืองแวววาวคล้ายทอง เช่น แร่ไพไรต์ เนื่องจากแร่นี้มักทำให้ผู้พบเห็นเกิดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นทอง

ที่มาของ "ทองคนโง่"


"ทองคนโง่" มาจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Fool's Gold เป็นชื่อเรียสินแร่หลายชนิดที่มีลักษณะสีเหลืองแวววาวคล้ายทอง เช่น แร่ไพไรต์ (Pyrite - FeS2) หรือ เหล็กซัลไฟด์ (Iron sulfide) เป็นต้น

เหตุที่ได้ชื่อว่า ทองคนโง่ เนื่องจากแร่เหล่านี้มักทำให้ผู้พบเห็นเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นทอง มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับทองคนโง่เรื่องหนึ่ง คือ ในศตวรรษที่ 15 เป็นยุคที่ประเทศแถบยุโรป เริ่มออกสำรวจดินแดนใหม่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาเส้นทางเดินเรือมาทวีปเอเซีย

ในปี ค.ศ. 1576 เซอร์มาติน โฟรบิสเซอร์ (Sir Martin Frobisher) นักสำรวจชาวอังกฤษ พบเห็นแร่ไพไรต์บนเกาะแบฟฟิน (Baffin) ประเทศแคนาดาด้วยความบังเอิญ  เขาเข้าใจผิดว่าแร่นี้เป็นทอง จึงนำกลับมาที่อังกฤษ แม้ว่าตัวอย่างแร่นั้นจะถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่ไช่ทอง  แต่กลุ่มพ่อค้าได้ขอให้โฟรบิสเชอร์ออกเรือไปขุดแร่ที่เกาะนั้นอีกในปีถัดมา

เที่ยวที่สองนี้ โฟรบิสเซอร์ขนแร่ไพไรต์ใส่เรือกลับมาอังกฤษประมาณ 200 ตัน ซึ่งผลการทดสอบชี้ว่ามันไม่ไช่ทองเหมือนเดิม

แต่กลุ่มผู้สนับสนุนไม่คิดแบบนั้น พวกเขาคิดว่า โฟรบิสเชอร์คงขุดแร่ผิดที่  ดังนั้น พวกเขาจึงออกเรือเดินทะเลขนาดใหญ่จำนวนมากถึง 15 ลำไปที่เกาะเป็นรอบที่สาม คราวนี้พวกเขาทำเหมืองบนเกาะ และนแร่น้ำหนักกว่า 1100 ตันกลับมาประเทศ  แต่ผลการตรวจสอบก็ยังเหมือนเดิม คือ มันไม่ไช่ทอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สินแร่ชนิดนี้จึงถูกขนานนามว่าทองคนโง่จนถึงปัจจุบัน





ที่มา : หนังสือแปลกแต่จริง ในโลกวิทยาศาสตร์ ISBN 978-974-229-617-9
ของ MTEC หน้า 34-35
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

"เมพขริงๆ" คือ?? จากการพิมพ์ "เทพจริงๆ" แต่ ท. กับ ม. อยู่ใกล้กัน จ ชิดกับ ข. ทำให้เกิดคำว่า "เมพขริงๆ" จากทอล์กโชว์ของ เทพ โพธิ์งาม :-)

เทพ โพธิ์งาม ชีวิตที่เมพขริงๆ ของชายชื่อเทพ


เริ่มต้นด้วยการพูดถึงศัพท์วัยรุ่น "เมพขริงๆ" อันเป็นที่ฮิตติดตลาดในขณะนี้ (แม้จะโดนคำว่า "สุโค่ย" ซึ่งมีความหมายเดียวกันแซงทางโค้งมานิดหน่อย) ซึ่งความหมายของคำนี้ก็คือ สุดยอดระดับเทพ !


อันที่จริง ศัพท์คำนี้มาจาก "ความบังเอิญ" ในการพิมพ์คำว่า "เทพจริงๆ" แต่บังเอิญ ท.ทหารกับ ม.ม้า ดันมาคึกคักใกล้กันบนคีย์บอร์ด จ.จาน ดันมาแนบชิดกับ ข.ไข่ แล้วทำให้คำว่า "เมพขริงๆ" ประสบความสำเร็จเป็นภาษาไทยพันธุ์ใหม่ในโลกไซเบอร์

แต่สำหรับตลกอาวุโสที่ชื่อว่า เทพ โพธิ์งาม หรือป๋าเทพแล้ว แม้ว่าความสำเร็จในชีวิตของป๋า ทั้งธุรกิจส่วนตัวและงานบันเทิงจะขึ้น ๆ ลง ๆ ตาม "ความบังเอิญ" (หรือบางทีก็เกิดจาก "ความไม่บังเอิญ") เราก็ต้องยอมรับว่า ป๋าได้ยืนหยัดต่อสู้กับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างภาคภูมิ ตั้งแต่เกิดมาเป็น เด็กชายสุเทพ โพธิ์งาม ผู้เกิดที่ปราจีนบุรี แล้วไปโตที่นราธิวาส มาอยู่กับคณะตลกซุปเปอร์โจ๊ก กับ เด๋อ ดอกสะเดา และ เด่น ดอกประดู่ จนมีชื่อเสียงในผลงานภาพยนตร์ "เทพบุตรต๊ะติ๊งโหน่ง" (2520) อันเป็นก้าวแรกในวงการบันเทิง แล้วก็มีผลงานในวงการบันเทิงเรื่อยมา ทั้งงานละครเวที ภาพยนตร์ พิธีกร งานเพลง และเร็ว ๆ นี้ป๋าจะมีการแสดงสด "โชว์ป๋า พูดจา ภาษาเทพ" จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคมนี้ ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ให้เราได้ชมกัน

อ่านต่อ http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02dlf05121052§ionid=0225&day=2009-10-12
 
นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4148
คอลัมน์ EXCLUSIVE INTERVIEW

โดย ณัฐกร เวียงอินทร์

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แม่นางคลีโอฯ ชอบแต่งตัวเซ็กซี่ วับๆแวมๆ ทั้งบนล่าง ออกงานบ่อย Sheเลยคิด "จับปิ้ง" เวลานั่งหวอออก ปิ้งมาปิดเป๊ะๆ โอ้..นาง!!

แม่เจ้ากับนวัตกรรมสตรีแห่งยุค..ช่างกล้าคิด



พระนางคลีโอพัตราคือหญิงสาวที่มีเรือนร่างอันอวบอ้วนใบหน้ากลม ปากบางสวย

แต่มีจมูกที่ทั้งใหญ่และงุ้มแม้ว่ารูปโฉมของพระนางคลีโอพัตรา ราชินีแห่งไอยคุปต์พระนางทรงเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์รอบรู้เรื่องรัฐศาสตร์และหลักการปกครองอันเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์อย่างยอดเยี่ยม สามารถพูดได้ถึง 6 ภาษา รวมทั้งยังเก่งเรื่องอักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ เพราะตลอดเวลา 22 ปีที่ทรงครองบัลลังก์อยู่ พระนางแต่งโคลงกลอนไว้มากมายรวมทั้งให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูศิลปกรรมสาขาต่างๆ มากมายด้วยความเก่งกาจของพระนางคลีโอพัตราที่มีอยู่มากมาย ทำให้ฟาโรห์ผู้เป็นพระราชบิดาของพระนางแต่งตั้งให้พระนางขึ้นครองราชบัลลังก์คู่กับพระองค์ในปี 52 ก่อนค.ศ. และพระนางก็สามารถบริหารราชการบ้านเมืองคู่พระบิดามาได้ด้วยความเรียบร้อย....

เรื่องมีอยู่ว่า พระนางออกงานบ่อยมาก ชอบแต่งตัวตามสมัยนิยมสุดล้ำ ท่วงท่าการประทับช่างเป็นที่ชวนมองแก่เหล่าทหารและผู้เข้าพบ สมัยนี้เรียกว่า วับๆ แววๆ ทั้งด้านบนที่อาภรณ์เว้าเห็นเนินอก และ ด้านล่างที่..... (เรต ฉ.) เหตุนี้เองทำให้เหล่าผู้พบเห็นต่างแอบมอง.... เสียการณ์เป็นอย่างมาก กาลต่อมา พระนางชมสวน บังเอิญเห็นจับปิ้งเด็กวัยเยาว์ จึงคิดวิธีแก้ไขวับๆแวมๆ ได้ในบัดดล นางส่งสั่งให้ข้ารับใช้ทำกระโปรงด้านหน้าให้มีพู่ห้อย พอนั่งลงปั๊บ แรงโน้มถ่วงของโลก จะดึงพู่มาปิด ณ ตำแหน่ง...ทันที ไม่ต้องใช้มือปิด หยิบจับอะไรก็สะดวก ส่วนที่คอก็สวมสร้อยทอคล้ายจับปิ้ง พอก้มแรงโน้มถ่วงก็พาพู่ลงมาปิด ณ ตำแหน่ง...นั้นเช่นเดียวกัน



ด้วยบังเอิญ นางช่างกล้าคิด กล้าทำซะจริงๆ


ที่มา : กูเกิลกูรู http://bit.ly/cDev0w
(แปลจาก นิตยสาร The Spiral ฉบับ 244 พฤษภาคม 2550 โดยบรรจง)
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โปรแกรม nero burning มาจากชื่อ จักรพรรดิ เนโร ที่มีเรื่องเล่าว่า เป็นผู้สั่งเผากรุงโรม ชอตคัทของโปรแกรมนี้จึงเป็นรูป โคลอสเซียม ไฟไหม้



โปรแกรม nero burning มาจากชื่อ จักรพรรดิ เนโร ที่มีเรื่องเล่าว่า เป็นผู้สั่งเผากรุงโรม ชอตคัทของโปรแกรมนี้จึงเป็นรูป โคลอสเซียม ไฟไหม้



นีโร ผู้เผารอมและโรม -Nero Burning Rom(e)


เด็กรุ่นใหม่ที่มีคอมพิวเตอร์ในหัวใจรู้จักนีโรแทบทั้งนั้น Nero Burning Rom เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปตัวเก่ง พัฒนาโดยบริษัท Ahead Software AG มีความสามารถด้านการเขียนหรือบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นซีดีและดีวีดี หรือก๊อปปี้แผ่นต่อแผ่นก็ทำได้รวดเร็ว จึงได้รับความนิยมทั่วโลก ปัจจุบันพัฒนาไปไม่น้อยกว่า 8 เวอร์ชั่น 26 ภาษา และ 270ล้านก๊อปปี้ แต่ผู้ใช้โปรแกรมตัวนี้ครั้งแรกอาจรู้สึกแปลกๆกับชื่อโปรแกรม "นีโรเผาโรม" คำว่า "ROM" ย่อมาจาก Read Only Memmory/Data โดยปกติข้อมูลในแผ่น CD (Compact Disk) จะอยู่ในรูปอ่านอย่างเดียว แต่ถ้าคุณต้องการเขียนลงแผ่นซีดีโปรแกรมนีโรจะทำการเขียนข้อมูลลงแผ่นทันที ที่คุณกดปุ่ม "เผา" (Burn) ที่ออกแบบเป็นรูปแผ่นซีดีกำลังลุกไหม้ ทำให้ผู้หัดใช้หลายคนไม่กล้ากดกลัวแผ่นซีดีถูกเผา ทั้งตราสัญลักณ์ของโปรแกรมยังเป็นรูปอัฒจันทร์โคลอสเซียมในกรุงโรมกำลังถูก ไฟเผาผลาญ



ในอดีตนีโรเคยเป็นที่รู้จักในความหมายของจักรพรรดิทรราชที่ชาวโรมันและชาว คริสต์เกลียดชัง นีโรในอดีตไม่ได้เผาซีดีรอม แต่เผากรุงโรมเพียงเพราะอยากได้วังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม นีโรเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 5 และองค์สุดท้ายของราชวงศ์จูลิโอคลอเดีย ซึ่งปกครองจักรวรรดิโรมัน ทรราชผู้นี้เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ.37 ขึ้นครองราชย์วันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ.54 ขณะอายุเพียง 25 ปี




ในช่วงแรกของการครองราชย์ จักรพรรดินีโรเป็นที่รักไคร่จากนิสัยที่เป็นกันเอง มีอารมณ์ขัน และชอบบริจาคสิ่งของแก่คนยากจน แต่เพียงไม่นานโฉมหน้าอันแท้จริงก็ปรากฎเรื่องใช้เงินหลวงอย่างฟุ่มเฟือย เขาแสดงนิสัยเผด็จการด้วยการไม่รับฟังความเห็นจากตัวแทนประชาชน




คืนวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ.64 เกิดเพลิงไหม้กรุงโรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โรมัน สิ่งก่อสร้างรวมทั้งสถานที่เก็บเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์จมอยู่ในทะเล เพลิง สุดท้ายเมื่ออัคคีภัยยุติ มีเพียงบ้านเรือนหนึ่งในสามที่รอดพ้นจากวินาศภัยครั้งนี้ โดยองค์จักรพรรดิปลอดภัยดี เพราะเขาพาครอบครัวเดินทางออกจากโรมก่อนเกิดอัคคีภัย



หลังเพลิงสงบ นีโรกลับโรมพร้อมกำลังทหารองค์รักษ์ เขากล่าวโทษชาวคริสต์ว่าเป็นผู้วางเพลิง ชาวคริสต์จำนวนมากถูกสังหารเยี่ยงแพะรับบาป แรกๆชาวโรมดีใจที่เขาบัญชาให้บูรณะกรุงโรมอย่างเร่งด่วนโดยใช้เงินไม่อั้น แต่เมื่อเงินหมดท้องพระคลัง นีโรก็สั่งทหารปล้นสะดมชิงทรัพย์สินของประชาชนมาเป็นทุน และหลังการบูรณะเสร็จสิ้นวังของจักรพรรดิกลับยิ่งใหญ่อลังการณ์กว่าเดิมมาก จนชาวโรมเชื่อว่านีโรเป็นผู้วางแผนเผากรุงโรมเพื่อต้องการขยายวังที่ประทับ ตอกย้ำความเจ๊บช้ำของชาวโรมจนได้รับสมญานามว่า "Nero Burning Rome" 9 มิถุนายน ค.ศ.68 กองทัพโรมมันและรัฐสภาทนต่อไปไม่ไหว ส่งกองกำลังบุกจับองค์จักรพรรดิมาลงโทษ แต่นีโรชิงฆ่าตัวตายเมื่อวัย 31 ปี ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์ จูลีโอคลอเดีย
 
 
 
คำว่า Nero ก็หมายถึงจักรพรรดิ์ เนโรห์

ส่วนคำว่า Rom ในภาษาเยอรมัน มีความหมายว่า Rome (คนเขียนโปรแกรมเป็นชาวเยอรมัน)
ดังนั้น Nero Burning Rom = Nero Burning Rome นั่นเอง

ที่มา :  วิกิฯ จักรพรรดิ์ เนโร http://bit.ly/ahuXuw
http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2006/05/A4384051/A4384051.html
รูปภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

ตัวเลขหนึ่งๆกระจายเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าได้ ทางMathเรียกว่าPartition ใช้เข้ารหัสบัตรเครดิต คือทฤษฎี "รามานุจัน" อัจฉริยะคณิตศาสตร์ชาวอินเดีย

ทฤษฎี "รามานุจัน" อัจฉริยะคณิตศาสตร์ชาวอินเดีย



นักศึกษาหนุ่มวัย 25 ปี Karl Mahlburg แห่ง University of Wisconsin เมือง Madison ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถแก้ปัญหาสำคัญทางคณิตศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีจำนวน หรือ Number theory ได้สำเร็จ ปัญหาดังกล่าวค้นพบโดย รามานุจัน อัจฉริยะคณิตศาสตร์ชาวอินเดียผู้เป็นตำนาน (Srinivasa Ramanujan)



บิดาแห่งทฤษฎีจำนวนสมัยใหม่ รามานุจัน เสียชีวิตไปเมื่อปี ค.ศ. 1920 ขณะมีอายุได้เพียงแค่ 32 ปี เขามีด้านคณิตศาสตร์มากมาย แต่รามานุจันมีชื่อเสียงมากในการสังเกตรูปแบบที่น่าสนใจของตัวเลข โดยเฉพาะวิธีที่ตัวเลขหนึ่งๆ สามารถเขียนในรูปผลรวมของตัวเลขอื่นที่มีค่าน้อยกว่า ซึ่งในทางคณิตศาสตร์เรียกว่า Partition


ตัวอย่างเช่น "เลข 4" มีอยู่ 5 Partition นั่นคือมีชุดตัวเลขจำนวนเต็มอยู่ 5 ชุดที่บวกกันแล้วได้เท่ากับ "4" ในจำนวนนี้มี 4, 3+1, 2+2, 1+1+2 และ 1+1+1+1 สิ่งที่น่าสนใจและทำให้ Partition น่าศึกษาคือ มันเริ่มต้นง่าย แต่เปลี่ยนเป็นยากมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว จะสังเกตได้เห็นว่าในขณะที่ "เลข 4" มีเพียง 5 Partition "เลข 10" มี 42 Partition และเมื่อไปถึง "เลข 100" จำนวน Partition ของ "เลข 100" มีอยู่ถึง 190,569,292 Partitions รามานุจันได้เขียนแจกแจง Partition ของเลขจำนวนเต็มตั้งแต่ 1 ถึง 200 ซึ่งทำให้เขาพบปรากฏการณ์ที่สวยงามอย่างน่าประหลาด


เขาพบว่า สำหรับทุกๆ จำนวนเต็มที่ลงท้ายด้วย 4 หรือ 9 (เช่น 4, 9, 14, 19, … ) จำนวน Partition ของจำนวนเต็มนั้นจะหารด้วย 5 ลงตัวเสมอ เช่น "เลข 4" มี 5 Partition "เลข 9" มี 30 Partition "เลข 14" มี 135 Partition เป็นต้น


ทำนองเดียวกัน เริ่มต้นจาก "เลข 5" ตัวเลขที่อยู่ในลำดับถัดออกไปทุกๆ เจ็ดตัว( เช่น 12, 19,…) จะมีจำนวน Partition ที่หารด้วย 7 ลงตัวเสมอ และถ้าเริ่มต้นจาก "เลข 6" ตัวเลขที่อยู่ในลำดับถัดออกไปอีกทุกๆ สิบเอ็ดตัว(เช่น 17, 28,…) จะมีจำนวน Partition ที่หารด้วย 11 ลงตัวเสมอ


ความสัมพันธ์อันน่าประหลาดระหว่างตัวเลขเหล่านี้ นักคณิตศาสตร์เรียกว่า Ramanujan "congruence" ค้นพบโดยบังเอิญ นักคณิตศาสตร์ใช้ความพยายามเป็นเวลานานหลายปี พยายามเข้าใจว่าความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นอย่างไร และเหตุใดจึงมี congruence เพียงแต่ "จำนวนเฉพาะ" 3 ตัวนี้เท่านั้น


ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นักฟิสิกส์ชื่อดัง ฟรีมาน ดาย์สัน(Freeman Dyson) ร่วมกับนักคณิตศาสตร์อีกท่านหนึ่ง พยายามหาวิธีที่จะพิสูจน์ Ramanujan"s congruence โดยได้ประดิษฐ์เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า Rank ซึ่งทำให้เขาสามารถแยก Partition ของตัวเลขให้อยู่เป็นกลุ่มของตัวเลขที่มีขนาดเท่าๆ กัน


อย่างไรก็ดี แนวคิดของดาย์สัน ใช้ได้กับกรณี congruence 5 และ congruence 7 แต่ใช้ไม่ได้กับกรณีของ congruence 11 ดาย์สันจึงได้เสนอแนวคิดว่า น่าจะมีเทคนิคทางคณิตศาสตร์ที่จะสามารถใช้ได้กับทั้ง 3 congruence เขาเรียกชื่อมันเล่นๆ ว่า "crank" นักคณิตศาสตร์เรียกว่า Crank conjecture ซึ่งอยู่ยาวนานถึง 40 ปี จนกระทั่งเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา นักคณิตศาสตร์ George Andrews แห่ง Penn State University และ Frank Garvan ได้พบ Crank สำหรับ congruence 11 เป็นผลสำเร็จ หลังจากการค้นพบครั้งนั้นนักคณิตศาสตร์คิดว่าคงไม่มีการค้นพบใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว Crank conjecture ได้พิสูจน์แล้วอย่างสมบูรณ์


(แสตมป์ รามานุจัน, ประเทศอินเดีย)

พอปลายทศวรรษที่ 90 นักคณิตศาสตร์ Ken Ono (อาจารย์ที่ปรึกษาของ Mahlburg) ได้ศึกษางานในสมุดบันทึกของรามานุจัน และค้นพบว่า ทุกๆ จำนวนเฉพาะ ไม่แต่เฉพาะ 5, 7, และ 11 มี congruence ทั้งสิ้น Ramanujan"s congruences เป็นส่วนเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ใหญ่กว่า ในการพิสูจน์ Ono พบว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Partition number สามารถอธิบายด้วยทฤษฎีคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า modular forms แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมจำนวนเฉพาะถึงมีคุณสมบัติดังกล่าว จนกระทั่ง Mahlburg ได้พิสูจน์ว่า ทฤษฎี crank สามารถขยายไปยังจำนวนเฉพาะได้ทุกจำนวน


ทฤษฎีเกี่ยวกับ Partition ไม่ได้เป็นที่สนใจเฉพาะในหมู่นักคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมีการประยุกต์ในหลายๆ สาขา ไม่ว่าจะเป็นในฟิสิกส์อนุภาค หรือแม้แต่การเข้ารหัสของบัตรเครดิตก็ต้องอาศัยความรู้ทางคณิตศาสตร์แขนงนี้ด้วยเช่นกัน


แยก Partiition ของ "เลข 9" ออกมาดูเล่นๆ มีอยู่ 30 อัน

9,

8+1, 7+2, 6+3, 5+4,
1+1+7, 1+2+6, 1+3+5, 1+4+4, 2+2+5, 2+3+4, 3+3+3,
1+1+1+6, 1+1+2+5, 1+1+3+4, 1+2+2+4, 1+2+3+3, 2+2+2+3,
1+1+1+1+5, 1+1+1+2+4, 1+1+1+3+3, 1+1+2+2+3, 1+2+2+2+2,
1+1+1+1+1+4, 1+1+1+1+2+3, 1+1+1+2+2+2,
1+1+1+1+1+1+3, 1+1+1+1+1+2+2,
1+1+1+1+1+1+1+2,
1+1+1+1+1+1+1+1+1


ที่มา http://www.vcharkarn.com/varticle/38881
นักคณิตศาสตร์  http://bit.ly/9w0Ywo
ภาพ : อินเตอร์เน็ต