"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--

ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)



แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 140อักษร(โลกน่ารู้) แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 140อักษร(โลกน่ารู้) แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

สุนัขจากมหายุค "ซีโนโซอิค" ก่อน แมลงสาบอึดมาจากยุค "เมโสโซอิค" และการแก้ตัวครั้งที่สองของของมนุษย์ในยุคนี้ (ท) http://bit.ly/bt9Rx0 #FM99

ต้นตระกูลบรรพบุรุษสุนัข แห่งมหายุค "ซีโนโซอิค"
วิวัฒนาการด้านโมเลกุลของสุนัขชี้ให้เห็นว่าสุนัขเลี้ยงนั้น (Canis lupus familiaris) สืบทอดมาจากจำนวนประชากรหมาป่า (Canis lupus) เพียงตัวเดียวหรือหลายตัว สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งชื่อพวกมัน สุนัขสืบทอดจากหมาป่าและสามารถผสมข้ามพันธุ์กับหมาป่าได้ด้วย



Canis lupus บรรพบุรุษของสุนัขสายพันธุ์ปัจจุบัน
( http://es.wikipedia.org/wiki/Canis_lupus )

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสุนัขนั้นถูกฝังลึกในด้านโบราณคดีและหลักฐานที่ตรงกันชี้ให้เห็นช่วงเวลาของการทำให้สุนัขเชื่องในยุคหินใหม่ ใกล้ ๆ กับขอบเขตของช่วงเพลสโตซีนและโฮโลซีน ในระหว่าง 17,000 - 14,000 ปีมาแล้ว ซากกระดูกฟอสซิลและการวิเคราะห์ยีนของสุนัขในยุคอดีตกับปัจจุบัน และประชากรหมาป่ายังไม่ถูกค้นพบ สุนัขทั้งหมดสืบอายุอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เชื่องด้วยตัวเองหรือไม่ก็ได้ถูกทำให้เชื่องด้วยตัวมันเองในพื้นที่มากกว่าหนึ่งพื้นที่ สุนัขที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้วอาจจะผสมข้ามพันธุ์กับประชากรหมาป่าที่อยู่ในถิ่นนั้น ๆ ในหลาย ๆโอกาส กระบวนการนี้รู้จักในทางทางพันธุศาสตร์ว่า อินโทรเกรสชัน (Introgression) 

ในยุคแรก ๆ ฟอสซิลสุนัข กะโหลก 2 จากรัสเซียและขากรรไกรล่างจากเยอรมนี พบเมื่อ 13,000 ถึง 17,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมันเป็นหมาป่าโฮลาร์กติก (Canis lupus lupus) ซากศพของสุนัขตัวเล็กจากถ้ำของสมัยวัฒนธรรมนาทูเฟียนของยุคหินได้ถูกเก็บไว้ในแถบตะวันออกกลาง มีอายุราว 12,000 ปีมาแล้ว เข้าใจว่าเป็นทายาทมาจากหมาป่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพศิลปะบนหินและซากกระดูกชี้ให้เห็นว่า เป็นเวลากว่า 14,000 ปีมาแล้วที่สุนัขในที่นี้กำเนิดจากแอฟริกาเหนือข้ามยูเรเชียไปถึงอเมริกาเหนือ หลุมฝังศพสุนัขที่สุสานยุคหินของเมืองสแวร์ดบอร์กในประเทศเดนมาร์กทำให้นึกไปถึงในยุคยุโรปโบราณว่าสุนัขมีค่าเป็นถึงเพื่อนร่วมทางของมนุษย์ 

การวิเคราะห์ทางยีนได้ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกันมาจนถึงทุกวันนี้ วิล่า ซาโวไลเนน และเพื่อนร่วมงาน พ.ศ. 2540 สรุปว่าบรรพบุรุษของสุนัขได้แยกออกจากหมาป่าชนิดอื่น ๆ มาเป็นเวลาระหว่าง 75,000 ถึง 135,000 ปีมาแล้ว เมื่อผลการวิเคราะห์ที่ตามมาโดยซาโวไลเนน พ.ศ. 2545 ชี้ให้เห็น เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมจากกลุ่มยีนสำหรับประชากรสุนัขทั้งหมด ระหว่าง 40,000 ถึง 15,000 ปีมาแล้ว ในเอเชียตะวันออก เวอร์จีเนลลี่ พ.ศ. 2548 แนะนำว่าอย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของทั้งคู่จะต้องถูกประเมินผลอีกครั้งในการค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่า นาฬิกาโมเลกุลแบบเก่าที่ใช้วัดเวลานั้นได้กะเวลายุคสมัยของเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาเกินความจริง โดยในความจริง และในการเห็นพ้องกันว่าด้วยเรื่องหลักฐานทางโบราณคดี เป็นเวลาเพียง 15,000 ปีเท่านั้นที่ควรจะเป็นช่วงชีวิตสำหรับความหลากหลายของของสุนัขหมาป่า

สหภาพโซเวียตเคยพยายามนำสุนัขจิ้งจอกมาเลี้ยงให้เชื่อง เช่นในสุนัขจิ้งจอกเงิน และสามารถนำมันมาเลี้ยงได้เพียงแค่ 9 ชั่วอายุของมันหรือน้อยกว่าอายุขัยของมนุษย์ นี่ยังเป็นผลในการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น เช่น สี ที่จะกลายเป็นสีดำ สีขาว หรือสีดำปนขาว พวกมันได้พัฒนาความสามารถในการขยายพันธุ์ตลอดปี หางที่โค้งงอมากขึ้น และหูที่ดูเหี่ยวย่น เรื่องเต็มๆ เกี่ยวกับบรรพบุรุษและการสืบสายพันธุ์สุนัข อ่านต่อได้ที่ วิกิฯ http://bit.ly/bDp4m2

อย่างไรก็ตาม มีการหักล้างในเวลาต่อมาว่า "สุนัข" มาจากสุนัขสายพันธุ์แอฟริกา
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิวัฒนาการของสุนัข และพบว่าบรรพบุรุษของมันคือหมาป่าสีเทา ในขณะที่สุนัขบ้านน่าจะเกิดในเอเซียตะวันออกเป็นที่แรก
หลักฐานก็คือความหลากหลายทางพันธุกรรมของสุนัขบ้านของเอเซียตะวันออกซึ่งมีสูงกว่าที่อื่น แสดงให้เห็นว่าสุนัขบ้านเกิดขึ้นมาในพื้นที่นั้นก่อนที่อื่นๆในโลก

แต่นักวิทยาศาสตร์รายงานในวรสาร PNAS ว่าจริงๆแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทำการศึกษาตัวอย่างดีเอ็นเอจากสุนัขกว่า 300 ตัวจากที่ต่างๆ นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าความหลากหลายทางพันธุกรรมของสุนัขที่พบในหมู่บ้านของชาวแอฟริกามีความหลากหลายไม่แพ้ในเอเซียตะวันออก

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าหมาป่าสีเทาหรือบรรพบุรุษของหมาบ้านอพยพเข้ามาในแอฟริกาเช่นกัน นอกจากนี้ธรรมชาติการเลี้ยงสุนัขในเกาะเช่นญี่ปุ่น อาจทำให้ความหลากหลายมีมากขึ้นจากการนำสุนัขจากที่อื่นเข้าไปผสมพันธุ์ หรือการมีสุนัขบ้านอยู่ตามถนนและที่ต่างๆ ทำให้มีความหลากหลายมากกว่าประเทศที่มีการควบคุมการผสมพันธุ์ของสุนัข
นั่นหมายถึงการที่หมาบ้านอาจกำเนิดขึ้นในแอฟริกาได้เช่นกัน

อ้างอิงเนื้อข่าวสำนักข่าวบีบีซี
Domestic dog origins challenged http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/8182371.stm

แมลงสาบอยู่รอดปลอดภัยมาจากมหายุค "เมโสโซอิค" 
วิวัฒนาการแมลงสาบ จากการศึกษาซากฟอสซิลของแมลงสาบ บ่งชี้ได้ว่า แมลงสาบได้ถือกำเนิดมาบนโลกนี้ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า เพราะมันได้เกิดมาตั้งแต่ยุคโบราณ(Carboniferous) 354 – 295 ล้านปีมาแล้ว ความแตกต่างของแมลงสาบโบราณกับแมลงสาบในปัจจุบัน คือช่องออกไข่ที่ปลายช่องท้องของมัน และมีการค้นพบฟอสซิลแมลงสาบที่เป็นยุคปัจจุบันคือมีรังไข่เหมือนกับปัจจุบันในยุคที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์จากโลกไปแล้ว หรือที่เรียกว่ายุค Mesozoic แมลงสาบสามารถปรับตัวได้กับทุกสภาพแวดล้อม เนื่องจากการที่แมลงสาบกินทุกอย่างเป็นอาหาร บางสายพันธุ์สามารถกินไม้ได้ด้วย แมลงสาบจะปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในประเทศที่เป็นเขตเมืองร้อน แมลงสาบในประเทศไทยจะอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน แหล่งของเสีย ขยะแมลงสาบที่อาศัยอยู่ตามฟาร์ม เช่น โรงผสมอาหารสัตว์

ในขณะที่่แมลงเกิดขึ้นมากในยุค Devonian และ แมลงสาบได้มีพัฒนาเต็มสายพันธุ์ในยุคนี้ ซึ่งเป็นแมลงที่แข็งแกร่งที่สุดในสายพันธุ์แมลงด้วยกัน
แมลง พบกำเนิดขึ้นเมื่อ 400 ล้านปีก่อน ในยุค Devonian แมลงชนิดแรกที่พบได้แก่ Rhyniella praecursor Hirst Maulik เป็นแมลงหางดีด อยู่ ในอันดับ Collembola พบที่ Scotland ต่อมายุค Carboniferous (350 ล้านปี) เป็นยุคที่เริ่มพบแมลงหลากหลายชนิดมาก ตัวอย่างเช่น แมลง Erasipteron larischi ซึ่งเป็นแมลงขนาดใหญ่รูปร่างคล้าย แมลงปอ ช่วงยุคนี้มีแมลงถือกำเนิดขึ้น 10 อันดับ โดยแมลงอันดับ Blattodea ซึ่งเป็นแมลงจำพวก แมลงสาบโดยพบมากกว่าอันดับอื่นๆ
อ่านต่อ วิวัฒนาการของแมลง http://www.sa.ac.th/biodiversity/contents/5insect/page.html

ข้อแตกต่างระหว่าง "แมลง" และ "แมง" 

แมลง
แมง
ตัวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน (ส่วนหัว, อก และ ท้อง)
 
ตัวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ( ส่วนหัวกับส่วนอก
เชื่อมกัน และ ส่วนท้อง )
ปีกส่วนใหญ่มี 2 คู่ไม่มีปีก
ขา 3 คู่ ขา 4 คู่
ตัวอย่างเช่น  แมลงดา  แมลงสาบ  แมลงกระชอน ฯลฯตัวอย่างเช่น  แมงมุม  แมงป่อง 
แมงดาทะเล ฯลฯ

ตารางการปรากฎของสิ่งที่มีชีวิตตามอายุของโลก

มหายุค(Era)
ช่วงเวลา(ล้านปี)
ยุค(Epoch)
เหตุการณ์และซากที่พบ
ซีโนโซอิค
(Cenozoic)
1.7 - 2.5
พลีสโตซีน
(Pleistocene)
เป็นยุคน้ำแข็ง มนุษย์วิวัฒนาการขึ้นในโลก
ก่อให้เกิดความหลากหลายของนกยุคใหม่

70
เทอร์เทียรี
(Tertiary)
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมลง และพืชดอก
เมโสโซอิค
(Mesozoic)
135
เครตาเซียส
(Cretaceous)
ก่อเกิดความหลากหลายในพืชดอกเกิดต้นตอของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในปัจจุบันแมลงสมัยปัจจุบันหลายชนิดปรากฏมีการสูญพันธุ์ของไดโนซอและแมลงในหลายกลุ่ม

190
จูราสซิค
(Jurassic)
เป็นยุคที่มีไดโนซอสูงสุดปรากฏพืชในกลุ่มสน เกิดต้นตอของนก พืชดอก และแมลงในยุคใหม่ในหลายลำดับและมีการหายไปของแมลงหลายกลุ่ม

255
ไตรแอสซิค
(Triassic)
มีสัตว์เลื้อยคลานที่ลักษณะคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีแมลงกระจายกว้างขวาง
ฟาลีโอโซอิค(Paleozoic)
270
เพอร์เมียน(Permian
ปรากฎแมลงในยุคใหม่ขึ้นในหลายระดับมีการหายไปของแมลงยุคโบราณ และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกยุคแรก

350
คาร์โบนิเฟอรัส(Carboniferous)
พืชที่เป็นถ่านหินที่เป็นเฟิร์นแพร่กระจายกว้างขวาง เฟิร์นที่มีเมล็ดและป่าฮอสเทล เกิดแมลงในลำดับใหม่หลายชนิดรวมถึงแมลงที่บินได้ มีความหลากหลายเพิ่มมากในซากโบราณของแมลง รวมถึงชนิดที่มีตัวขนาดใหญ่มาก ๆ มีความเด่นของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและเป็นยุคที่เริ่มเกิดสัตว์เลื้อยคลาน

400
ดิโวเนียน(Devonian)
เป็นการพบพืชมีเมล็ดเป็นครั้งแรก พบต้นตอของแมลงที่ยังไม่มีปีก พบสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ปลามีความเด่นในโลกมากที่สุด

440
ไซลูเรียน(Silurian)
เกิดพืชบกขึ้นเป็นครั้งแรก พบสัตว์บกครั้งแรกเป็นพวกกิ้งกือ ปลามีความหลากหลายมากขึ้น

500
โอโดวิเชียน(Odovician)
เป็นจุดเริ่มต้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็นช่วงสร้างความหลากหลายของสัตว์ไม่กระดูกสันหลังในท้องทะเล

600
แคมเบรียน(Cambrian)
เริ่มต้นและก่อความหลากหลายในสัตว์ไม่มี กระดูกสันหลังปรากฏสัตว์ในกลุ่มอาร์โทรพอดโดยเฉพาะ trilobites
พรีแคมเบรียน(Precambrian)
3500

เริ่มเกิดสิ่งมีชีวิต พบเซลล์ซากโบราณของจุลลินทรีย์ เริ่มต้นสัตว์ในกลุ่มไม่มีกระดูกสันหลัง


มนุษย์เชื่อว่า โลกมีการพ้นยุคสุดท้ายของวัฏจักรมาแล้วรอบหนึ่ง และที่กำลังยืนอยู่บนยุคที่สอง ที่อาจจะแก้ตัวได้ 





ท้องฟ้า ผืนดิน น่านน้ำ ไม่มีอะไรที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะครอบครองไม่ได้ด้วยความสามรถที่ได้จากวิวัฒนาการ

....และในที่สุด มนุษย์ก็ก้าวออกจากความมืดของประวัติศาสตร์เพื่อครองพิภพในฐานะสุดยอดนักล่า เช่นเดียวกับ Dimetrodon เมื่อเกือบสามร้อยล้านปีมาแล้วด้วยมรดกที่ถูกส่งผ่านมาในเกลียวอมตะของ D.N.A.
ความรุ่งเรืองและสูญพันธุ์สอนเราว่า ความยิ่งใหญ่เหนือพื้นพิภพเป็นแค่ไม้ขีดที่สว่างวูบในเสี้ยวกาลแล้วดับไปอย่างไม่บอกกล่าว มนุษย์จึงควรภูมิใจกับมรดกของชีวิตและรับภาระปกครองโลกนี้ให้คุ้มค่าแม้จะเพียงชั่วครั้งคราว...เพราะไม่บ่อยนักที่เราจะได้รับโอกาสครั้งที่สอง
ที่มา : SRC: Wikipedia,Google, Kitzmiller v. Dover: Padian demonstrative slides,Evolution: What The Fossils Say And Why It Matters


*อ้างอิงเพิ่มเติม*
Carpenter, F.M. 1953. The geological history and evolution of insects. American Scientist 41 : 256-270
Engel, M.S. amd Grimaldi, D.A. 2004. New light shed on the oldest insect. Nature 427 : 627 – 630.
Levin, H.L. 1999. Ancient Invertebrates and their living relatives. Prentice-Hall, Upper Saddle River, New Jersey
Ward, J.V. 1992. Aquatic Insect Ecology 1 : Biology and Habitat. John Wiley & Sons, Inc. New York.
Williams, D.D. and Feltmate, B.W. 1992. Aquatic Insects. CAB International. Wallingford.

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จมูกมด?? มดไม่มีจมูก ไม่มีปอด แต่ต้องใช้O2หายใจ มดจึงมีถุงลมติดอยู่อวัยวะต่างๆทั่วร่าง ไว้ดูดซึมO2เข้าเซลล์ ในน้ำO2น้อยมดว่ายได้ไม่นาน #FM99

มดหายใจอย่างไร??



มดเป็นสัตว์จำพวกแมลง ไม่มีปอด แต่ก็ต้องใช้ออกซิเจนในการหายใจ ระบบหายใจของมดและแมลงที่เป็นสัตว์บกทั่วไป ประกอบด้วยถุงลมที่มีอยู่มากมายตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่ดูดซึมออกซิเจนจากอากาศเข้าไปใช้กับเซลล์ในร่างกาย


ปกติ มดจะอาศัยอยู่บนบก แต่มันก็สามารถอยู่ในน้ำได้เช่นกัน ซึ่งมันจะใช้ออกซิเจนที่สะสมอยู่ในตัวของมันในการหายใจ และในน้ำก็มีออกซิเจนอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก มันจึงอยู่ในน้ำได้เพียงชั่วคราว


ที่มา : วิชาการดอทคอม
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"มีราซอร์โวน" โมเลกุลที่แมลงปีกแข็งชนิดหนึ่งปล่อยป้องกันตัว ตั้งชื่อตามดารา"มีรา โซวีโน"จากMimic(ดร.ซูซานฯ) (ท/E) http://bit.ly/crhofL #FM99

ดาราฮอลลีวูดกับชื่อเคมี





มีราซอร์โวน (Mirasorvone) เป็นชื่อโมเลกุลชนิดหนึ่งที่แมลงปีกแข็ง ชื่อ Sunburst Diving Beetle ปล่อยออกมาเพื่อใช้ป้องกันตัวเองจากศัตรู โมเลกุลตัวนี้จะไม่น่าสนใจเป็นพิเศษเลย ถ้าหากไม่เป็นเพราะ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ตั้งชื่อโมเลกุลเคมีนี้ตามชื่อดาราสาว มีรา ซอร์วีโน (Mira Sorvino) เพื่อเป็นเกียรติแก่เธอในฐานะผู้รับบท ดร.ซูซาน ไทยเลอร์ (Dr.Susan Tyler) ที่ต่อกรกับแมลงอสุรกายอย่างน่าประทับใจในภาพยนตร์ไซไฟ เรื่อง Mimic ในชื่อไทยว่า "อสูรสูบคน"

ผลงานภาพยนตร์อื่นๆ ของมีรา ซอร์วีโน เช่น จุดไฟรัก เติมไฟฝัน (At First Sight) นักฆ่ากระสุนโลกันต์ (The Replacement Killer) เป็นต้น








Acknowledgments
This paper is no. 152 in the series Defense Mechanisms of Arthropods; paper no. 151 is ref. 22. We have named compound 9 affectionately in honor of Mira Sorvino, who, as Dr. Susan Tyler in the motion picture Mimic, successfully confronted the ultimate insect challenge. The study was supported by Grants AI02908 and GM53830 from the National Institutes of Health. Support (to J.M.) from the Bert L. and N. Kuggie Vallee Foundation, Inc. during the preparation of this report is gratefully acknowledged.


แปลกแต่จริงบนโลกวิทยาศาสตร์ ISBN : 978-974229-617-9
ข้อมูลตามต่อและเพิ่มเติม http://www.pnas.org/content/95/6/2733.full
Mira Sorvino http://en.wikipedia.org/wiki/Mira_Sorvino
Mira Sorvino+Mirasorvone http://scientific-child-prodigy.blogspot.com/2007/08/mira-sorvino-and-scientific-fame.html
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ระเบิดปรมาณูถล่มญี่ปุ่นเป็นแบบตั้งเวลา ค่อยๆปล่อยลงโดยร่มชูชีพ รู้แผนนี้13คน นักบินB29ก็ไม่รู้ว่าทิ้งอะไร 1ในนั้นรักษาตัวในรพ.บ้าถึง15ปี // วันที่ 6 , 9 และ 15 สิงหาคม จึงเป็นวันแห่งความทรงจำของญี่ปุ่น 60 ปีผ่านมา เราจึงเห็นการพัฒนาของผู้พ่ายสงคราม อ่านต่อ http://bit.ly/bm17lq

ขออภัย ขอนุญาตงดใส่รูปประกอบเนื้อหาในบทความค้นคว้านี้

ระเบิดปรมาณู "Little Boy" ที่ใช้ถล่มฮิโรชิมา








Hiroshima คือเรื่องราวที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดจากภัยของสงคราม ในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดีความเหิมเกริมของจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น นำมาซึงความสูญเสียมากมายเหลือคณานับ ซึ่งญี่ปุ่นก่อนหน้าช่วงเวลานั้น
หลังจากที่หมดยุคของโชกุนเป็นผู้ครองประเทศแล้ว ก็เข้าสู่การปกครองแบบจักรวรรดิ์รุ่นใหม่ที่ปกครอง
ด้วยระบอบทหารเต็มตัว สร้างแสนยานุภาพที่เกรียงไกร กลายเป็นประเทศมหาอำนาจ แล้วก็แผ่ขยายอิทธิพลของตัวเองเข้าสู่ดินแดนภูมิภาคเอเชียอาคเนย์

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นฉวยความได้เปรียบในสถานการณ์ ส่งทหารเข้าสู่สงคราม และเวลาต่อมาก็เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตร กับนาซีเยอรมันและฟาสซิสต์อิตาลี่ เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเต็มตัว แม้จะถูกคัดค้านจากสหรัฐอเมริกา โดยที่ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจลงโทษญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็มิได้สะทกสะท้านต่อการข่มขู่นี้ของอเมริกานัก

ญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือที่ Pearl Harbor เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941ต่อมาญี่ปุ่นเกรงว่าแผนการขยายอำนาจเข้าสู่เอเชียตะวันออก และ เอเชียใต้ ของตนจะต้องชะงักลงเนื่องจากอเมริกาไม่เห็นด้วย ญี่ปุ่นจึงเปิดฉากโจมตีอเมริกาก่อนที่ อ่าวเพิร์ล ในฮาวาย ซึ่งการมุ่งโจมตีครั้งนี้นั้นเข้าทางอเมริกาที่รออยู่พอดี อเมริกาซึ่งยังคงลังเลที่จะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เลยได้โอกาสประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะทั้งสามประเทศในทันที ช่วงแรกของการสู้รบนั้นอเมริกาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะญี่ปุ่นใช้ยุทธวิธีการรุกแบบรวดเร็ว แต่พออเมริกาตั้งตัวได้ ฝ่ายที่เสียเปรียบก็เลยกลับกลายมาเป็นญี่ปุ่นแทน

ในขณะที่สงครามยังไม่ทันจะจบประธานาธิบดีรูสเวลต์ของอเมริกาถึงแก่อนิจกรรม รองประธานาธิบดี ทรูแมนก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน ในช่วงเวลานั้นอเมริกากำลังได้เปรียบเป็นอย่างมาก ประกอบกับการคิดค้นระเบิดปรมาณูสำเร็จพอดี ก็เลยนำมาทดลองใช้กับญี่ปุ่น

นาฬิกาที่หยุดเวลาทันทีหลังจากที่เมืองฮิโรชิม่า ถูกระเบิดปรมาณูเวลา 8.15 นาที ระเบิดปรมาณูลูกแรกถูกปล่อยลงสู่ ฮิโรชิม่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ทันทีที่ลูกระเบิดมรณะกระทบลงสู่พื้น ผู้ที่อยู่ในรัศมีครึ่งไมล์จากที่ลูกระเบิดลง เสียชีวิตในทันที สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายราบพนาสูรไปในพริบตา ชีวิตผู้บริสุทธ์สูญเสียไปถึง 45,000 ราย ในช่วงเวลาไม่ถึงนาที และ 19,000 รายต่อมาในอีกสี่เดือนให้หลัง ผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ต่อมาต้องทนทุกข์จากบาดแผลไฟลวก และพิษจากกัมมันตภาพรังสี ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสยิ่งกว่าตายทั้งเป็นอีกหลายแสนราย ประมาณการแล้ว ผู้เสียชีวิตที่ฮิโรชิม่าถึง 200,000 คน




สภาพเมืองฮิโรชิม่าหลังจากถูกระเบิดปรมาณู เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ผู้รอดชิวิต จากระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า

ระเบิดลูกแรกเป็นเพียงแค่การเตือน ประธานาธิบดีทรูแมน ได้หยิบยื่นชะตากรรมอำมหิตอีกครั้งให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้ตัดสินใจ แต่รัฐบาลญี่ปุ่นและองค์จักรพรรดิ์เองกลับเมินเฉย ต่อข้อเสนอที่จะยอม
จำนนต่อฝ่ายพันธมิตร ประธานาธิบดีทรูแมนเลยตกลงใจ ปล่อยระเบิดปรมาณูลูกที่สอง ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าลูกแรกที่ถล่มเมื่องฮิโรชิม่าภายใต้รหัสชื่อแฟทแมน

ประธานาธิบดีทรูเเมนขณะกำลังปราศรัย ระเบิดปรมาณูเจ้าของฉายาไอ้อ้วน หรือ Fatman ที่ฆ่าชีวิตคนนับเเสนที่เมืองนางาซากิเป้าหมายคือเมืองนางาซากิ วันที่ 9 สิงหาคม 1945 หลังจากเมืองฮิโรชิม่าสูญหายไปแล้วได้เพียงสามวัน ระเบิดปรมาณูลูกที่สองก็เผาผลาญและเข่นฆ่าชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกครั้ง ที่เมืองนางาซากิ ผลลัพธ์ที่ได้ไม่แตกต่างกันนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองฮิโรชิม่า นั่นก็คือความทารุณ
ที่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกมีให้แก่กันนั้น คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกครั้งไม่ต่างจากเมื่อสามวันก่อนที่ผ่านมาที่ฮิโรชิม่า

สภาพเมืองนางาซากิหลังจากถูกระเบิดปรมาณู เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1945 หนูน้อยเเละมารดาหลังจากรอดชีวิต จากระเบิดปรมาณูที่นางาซากิ ในที่สุดรัฐบาลญี่ปุ่นต้องยอมจำนนโดยไม่มีทางเลือก
เนื่องจากเห็นแก่ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจะสูญเสียตามมาอีก หากตนไม่ยอมจำนน จึงเซ็นรับข้อตกลงในสัญญายอมแพ้สงคราม แก่ฝ่ายพันธมิตร เมื่อวันที่ 15 ในเดือนเดียวกัน จักรพรรดิฮิโรฮิโต ยอมรับในเงื่อนไขของฝ่ายพันธมิตรในฐานะผู้เเพ้สงคราม เพื่อรักษาชีวิตพลเมืองญี่ปุ่น

เวลาผ่านมาแล้ว 65 ปี แต่ชาวเมืองฮิโร่ชิม่า และ นางาซากิ นั้นไม่เคยลืมเลือนโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อ 60 ปีก่อนเลย ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาตินั้นนับตั้งแต่มีการบันทึกมา กล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว และน่าสยดสยองยิ่งนัก มองในแง่ของเรื่องบาปกรรมนั้น ทหารญี่ปุ่นภายใต้การนำขององค์จักรพรรดิ์นั้นก็มีความร้ายโหดไม่แพ้กันต่อประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างจีน หรือ เกาหลี หากมองในแง่ของการแก้แค้น อาจจะดูเป็นการสมน้ำสมเนื้อกัน แต่ไฉนหนอชะตากรรมนั้นมักจะเล่นตลกกับผู้บริสุทธิ์อยู่เสมอ



ข้อมูลเสริมพร้อมวีดีโอ http://www.neutron.rmutphysics.com/teaching-glossary/index.php?option=com_content&task=view&id=5125&Itemid=3
อีเท่่ากับเอ็มซีสแควร์ http://www2.mtec.or.th/th/news/einstein/abomb_history.html
ผู้รอดหนึ่งเดียวจากเหตุระเบิดปรมาณูถล่ม2เมืองญี่ปุ่นเสียชีวิตแล้ว http://www.jat-languagecafe.com/newsite/highlight/display.php?id=1302
กามิกาเซ่ รู้จักไหม?? http://news.clipmass.com/story/%E0%B8%9D%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E---11799

การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่มฮิโระชิมะและนะงะซะกิ
วิกิฯ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B0%E0%B8%8B%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B4

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คลองปานามาสร้างเพื่อ?? เชื่อมแปซิฟิกและแอตแลนติกเข้าหากัน ลัดได้ 15,700กม. ขุดปี 1880 โดยฝรั่งเศสแต่ล้มเหลว จนUSAเข้ามาขุดต่อเสร็จ ปี1914

คลองปานามาสร้างทำไม??



เป็นคลองที่มนุษย์สร้างบริเวณคอคอดปานามาในประเทศปานามา เพื่อเชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาที่ต้องไปอ้อมช่องแคบเดรก และแหลมฮอร์น ทางใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ คิดเป็นระยะทางกว่า 15,700 กิโลเมตร คลองปานามามีความยาว 82 กิโลเมตร หรือ 51 ไมล์ มีเรือใช้เส้นทางนี้ประมาณ 12,000 ลำต่อปี ใช้เวลาแล่นเรือข้ามคลองประมาณ 9 ชั่วโมง


ถึงแม้ว่าแนวความคิดในการสร้างคลองปานามาจะมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แล้ว แต่ก็ได้มีการขุดคลองครั้งแรกในปี ค.ศ. 1880 โดยบริษัทฝรั่งเศสที่บริหารโดยนายแฟร์ดีนอง เดอ เลสเซป แต่ก็ล้มเหลวไป มีคนงานกว่า 22,000 คนเสียชีวิตระหว่างการทำงานนี้ จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาดำเนินงานต่อ จนกระทั่งสามารถเปิดใช้งานได้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1914 รวมการสูญเสียชีวิตทั้งหมดในระหว่างการทำงานสร้างคลองปานามานี้ ตกอยู่ที่ราว 27,500 คน นับเป็นหนึ่งในโครงการทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่และยากลำบากที่สุดที่เคยมีมา

 
อ่านเพิ่มเติม : http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no02-07/namerica10.html
วิกิฯ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2
คลองปานามา สิ่งมหัศจรรย์ที่ 8 ของโลก http://www.vcharkarn.com/vcafe/157892
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จอห์น ลาร์สัน อ้างความดันเลือดเปลี่ยนถ้าโกหก เกิด"เครื่องจับเท็จ"ขึ้นมา ปี 1931 ลิโอนาร์ด คีเลอร์ พัฒนาจนขายได้ ซึ่งศาลไม่ยอมรับเป็นหลักฐาน

เครื่องจับเท็จ (Polygraph Lie Detector)




ปิ๊ง! จากความเชื่อ นายจอห์น ลาร์สัน (John Larson) เป็นบุคคลที่มีความเชื่อเรื่องปฏิกิริยาผันแปร ของร่างกายมนุษย์ เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น หนึ่งในสิ่งผิดปกติของเขาก็คือ? การโกหก? บุคคลผู้โกหกย่อมมีความดันโลหิตที่เปลี่ยนไป จังหวะการเต้นและลมหายใจกระชั้นขึ้นในขณะตอบคำถาม ดังนั้น เขาจึงทำการคิดประดิษฐ์ ?เครื่องจับเท็จ? (polygraph lie detector) ขึ้นมา จนสำเร็จเป็นเครื่องแรกในปี ค.ศ. 1921


ต่อมานายลิโอนาร์ด คีเลอร์ (Leonard Keeler) นักอาชญวิทยานำ เครื่องประดิษฐ์อันแรกมาปัดฝุ่น พัฒนาประสิทธิภาพให้มีมากขึ้น แล้วจดทะเบียนสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1931 จากนั้นก็ผลิตเป็นสินค้าออกจำหน่าย และมีการนำไปใช้ในวงการตำรวจ เพื่อตรวจสอบคำให้การอย่างแพร่หลาย แต่อย่างไรก็ตาม ศาลไม่ยอมรับให้เป็นหลักฐานประกอบการไต่สอน จึงนับเป็น สิ่งประดิษฐ์ที่เป็น? ศิลปะ? อย่างหนึ่งเท่านั้น

 
 
ศาลได้มีความเห็นต่อเครื่องจับเท็จไว้ว่า
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๖๕/๒๕๐๒ วินิจฉัยว่า เครื่องจับเท็จยังไม่แน่นอนเด็ดขาดที่ศาลยุติธรรมจะฟังเป็นที่ยุติได้ ดังนั้นความเห็นของผู้ที่มาเบิกความด้วยเครื่องจับเท็จ จึงยังมีข้อโต้แย้ง ไม่อาจถือว่าเป็นผู้ชำนาญการพิเศษที่จะรับฟังเป็นพยานได้
(พรีเซนเตชั่นฉบับเต็ม http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:7e3KnJW61B8J:www.dmsc.moph.go.th/webroot/trang/WEB%2520KM/km_2.ppt+%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88+%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th )



ความเห็นจาก DSI
สำหรับเครื่องจับเท็จแบบไม่สัมผัสนั้นดีเอสไอได้ใช้งานมากว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าได้ผลในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสืบสวน อาทิ คดีก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เนื่องจากความเชื่อของศาสนาอิสลามซึ่งถือเรื่องการพูดปด


ดังนั้น เครื่องจับเท็จจึงช่วยได้มาก ส่วนประเด็นเรื่องพยานหลักฐานจากเครื่องจับเท็จจะมีน้ำหนักให้ศาลรับฟังมากน้อยแค่ไหนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานดังกล่าวเพียงอย่างเดียว เพราะการไต่สวนของศาลยังมีพยานหลักฐานอื่นที่ต้องพิจารณาประกอบกันด้วย แต่ยืนยันว่าเครื่องมือจับเท็จเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกอยู่แล้ว อ่านเต็มๆ http://atnnonline.com/Science-Technology-NEWS/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84-%E0%B8%A1.%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B9%8C.html


คมชัดลึก :จะมีเครื่องมืออะไรที่สามารถบอกถึง "ความในใจ" ที่ซ่อนอยู่ลึกในใจคนได้ดีไปกว่า "เครื่องจับเท็จ" ที่ช่วยภารกิจด้านสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง ของตำรวจกับผู้ร้ายที่แฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ขณะเดียวกันก็ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของผู้ต้องสงสัยได้อีกด้วย
เนคเทคนำเทคโนโลยีไอทีเข้ามาช่วยในรูปแบบซอฟต์แวร์ช่วยสืบสวนสอบสวน โดยวิเคราะห์และประมวลผลจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น อุณหภูมิใบหน้า หลังจากใช้เวลาศึกษาและปรับแต่งโปรแกรมอยู่ 3 ปี ทีมวิจัยได้ซอฟต์แวร์ต้นแบบชื่อ "เทด" (Thermal Analyzer for Deceptive Detection : TAD) ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังทดสอบประสิทธิภาพอยู่

“งานวิจัยดังกล่าวเกิดจากโจทย์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มองหาเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้แก่ผู้ต้องหา ปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ ถ้าเราทำสำเร็จ ถือว่าเป็นครั้งแรกของโลก” ดร.ศรัณย์ กล่าว... อ่านเต็มๆ http://www.komchadluek.net/detail/20100117/44882/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87...%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2.html


 
 
 
ที่มาและข้อมูลเพิ่มเติม
คลื่นวิทย์-เทคโนฯ : ศาสตร์และศิลป์ของเครื่องจับเท็จ  http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=725
มาจับเท็จเครื่องจับเท็จกันดีไหม?  http://gotoknow.org/blog/thanyasak/182659
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปี1888ฟรายด์ริช ไรนิตเซอร์ วิจัยไขมันพืช พบสารตัวหนึ่ง เย็นตัวเป็นสีขุ่น เย็นอีกใส เย็นถึงจุดสีน้ำเงิน จนเป็นผลึกเหลว เทคโนฯพาเขาไม่ไม่ถึง?? // จากผลึกเหลว จอร์จ ฮีลเมียร์ นำมาทำเป็นหน้าปัดนาฬิกา ปี1963 และ เจมส์ เฟอร์กาสัน นำมาผลิตเป็นจอ LCD ใช้หลักเบี่ยงเบนแสงจ่อเข้าหาผลึก ในปี1969


ในปี ค.ศ. 1888 นายฟรายด์ริช ไรนิตเซอร์ (Friedrich Reinitzer) เป็นนักพฤกษศาสตร์ ชาวออสเตรีย ขณะที่เขาศึกษาสารไขมันจากพืช ชั่วข้ามคืนเท่านั้น เขาพบสารชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายโคเลสเตอรอล อยู่ในสภาวะละลายเป็นของเหลวในภาวะที่มีความร้อน พอเย็นตัวลงก็กลายเป็นสารสีขุ่น และเมื่อเย็นลงอีกก็กลายเป็นสีใส พอเย็นตัวถึงจุดหนึ่ง กลับเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินและตกผลึก ซึ่งเป็นผลึกเหลว นำมาใช้สร้างจอแอลซีดีหน้าปัดนาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอล หน้าจอเครื่องคิดเลขหน้าจอเครื่องแฟกซ์ จอคอมพิวเตอร์ จอทีวีที่ติดตั้งในรถยนตร์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือ และแม้แต่จอทีวีขนาดใหญ่


ตัวจอเหล่านี้มีคุณสมบัติในการทำงานที่อาศัยการเบี่ยงเบนของแสง สามารถปรับหรือขยับให้แสงเข้าหน้าปัดจอได้มากน้อยตามต้องการ



ผู้ที่นำการค้นพบผลึกเหลวมาพัฒนาขยายผลก็คือนายจอร์จ ฮีลเมียร์ (George Heilmeier) ในปี ค.ศ. 1963 เริ่มใช้กับหน้าปัดนาฬิกาเป็นครั้งแรกต่อมาในปี ค.ศ. 1969 นายเจมส์ เฟอร์กาสัน (James Fergason) ได้นำหน้าปัดแอลซีดีมาพัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และขยายผลในการใช้สู่จอต่างๆใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกในทุกวันนี้



 
ที่มา: หนังสือ MK พาปิ๊ง! ไอเดียซิ่ง...ในสิ่งที่ไม่ธรรมดา
เด็กดีดอทคอม, ศูนย์ความรู้ นมข.
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำไมแมงมุมไม่ติดใยมัน? มันชักใยแห้งทำรังของมันก่อน เมื่อใกล้เสร็จจะถักใยเหนียวดักแมลง แล้วเว้นที่บางส่วนไว้เดินเอง ตัวเมียเป็นผู้ชักใยเท่านั้น

ทำไมแมงมุมจึงไม่ติดใยของมัน



ใยแมงมุมนั้นเป็นกับดักอย่างดี ที่จะคอยดักพวกแมลงต่างๆ ที่หลงมาติดใยอันเหนียวแน่น แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าแมงมุมไม่เคยติดใยของตัวมันเองเลย ขั้นตอนการชักใยอันชาญฉลาดของแมงมุนนั้น มันจะชักใยแห้งไม่เหนียวทำรังของมันก่อน และเมื่อรังใกล้เสร็จมันก็จะชักใยถักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันจะใช้ใยเหนียวที่สามารถดักแมลง และมันจะเว้นพื้นที่บางส่วนไว้สำหรับการเคลื่อนที่ได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้แมงมุมที่ทำการชักใยจะเป็นเพศเมีย

นอกจากนี้แมงมุมยังสามารถรู้ด้วยว่า มีเหยื่อมาติดใยของมันหรือยัง โดยก่อนที่มันจะจากไปหลังจากสร้างใยเสร็จแล้ว มันจะปั่นเส้นใยขึ้นมาเส้นหนึ่งสำหรับไว้เป็นเครื่องมือสื่อสารเชื่อมต่อระหว่างตัวมันกับรังของมันดังนั้นเมื่อมีเหยื่อมาติดกับเส้นใยเข้า แมงมุมก็จะรู้ได้จากการสั่นสะเทือนของเส้นใยที่มันโยงมา จากนั้นมันจะรีบกลับมาเพื่อจับเหยื่อไว้ด้วยเส้นใย และทำการฉีดพิษเข้าสู่ตัวเหยื่อจนแน่ใจว่าเหยื่อแน่นิ่งแล้ว มันก็จะดูดเลือดเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายอย่างสบายๆ

แมงมุมชักใย แมงมุมเริ่มต้นชักใยด้วยการสร้างเป็นโครงสร้างสามเหลี่ยม เป็นวิธีที่ใช้ใยน้อยที่สุด แต่ได้ความแข็งแรงสูงสุดและยืดหยุ่นได้ดี โครงสร้าง รัศมี และวงก้อนหอย อันแรก ใช้ใบชนิดไม่มียางเหนียว แมงมุมสร้างวงก้นหอยที่สองเป็นใบสำหรับดักจับแมลง เป็นอาหาร มันจะปั่นม้วนใยจากปลายข้างนอกเข้ามาหาจุดศูนย์กลาง โดยใช้เป็นยางเหนียว เป็นวงก้นหอยแบบลอการิทึม แมงมุมจำทุกส่วนของแผงใยได้ ดังนั้นแมงมุมจึงไม่ติดกับดักของตัวเอง เมื่อมีแมลงมาติด มันจะรู้ตำแหน่งโดยทันที จากการสั่นของใยรัศมี โดยไปทางเส้นใยที่ไม่มียางเหนียว


 
 
ที่มา : หนังสือ สัตว์โลกน่ารู้ เล่ม 2
เพิ่มเติม (ตอนท้าย) : http://chookwan.blogspot.com/2008/01/blog-post_1694.html
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

นกยืนหลับบนต้นไม้ไม่หล่น?? มันจะงอขาทันทีที่เกาะต้นไม้ ขณะที่งอขา เส้นเอ็นที่ต่อกับกล้ามเนื้อจะดึงยึดนิ้วให้งอเกาะกิ่งไม้ ถ้ายืนตรงมันก็ร่วง

ทำไมนกยืนหลับบนต้นไม้โดยไม่ตกลงมา


นกเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้หรือที่สูงๆเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันจะมีความสามารถพิเศษในการยืนบนต้นไม้ในขณะที่มันหลับได้โดยที่ไม่ตกลงมา ทั้งนี้เป็นเพราะนกที่เกาะบนต้นไม้โดยสัญชาตญาณของมันมันจะงอขาทันทีที่เกาะต้นไม้ ซึ่งขณะที่งอขานั้น เส้นเอ็นที่ต่ออยู่กับกล้ามเนื้อก็จะดึงยึดนิ้วขาให้งอเข้ามาทำให้นิ้วขาของนกจับแน่นอยู่กับกิ่งไม้ ทำให้ไม่ตกลงมาแม้ในเวลาหลับ ซึ่งหากขานกไม่ตั้งตรงขึ้น นิ้วเท้าของมันก็จะไม่คลายออกเด็ดขาด




ที่มา : หนังสือ สัตว์โลกน่ารู้ เล่ม 2
เว็บไซต์เผยแพร่ : ที่มา : http://sarakade.itgo.com/bird.html
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

มดหายใจยังไง?? มดอยู่ในกลุ่มแมลง ไม่มีปอด แต่มีถุงลมอยู่ตามตัวดูดซึมอ็อกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เมื่อลงน้ำมันใช้ออกซิเจนที่สะสมไว้หายใจได้ไม่นาน

มดหายใจอย่างไร??



มดเป็นสัตว์จำพวกแมลง ไม่มีปอด แต่ก็ต้องใช้ออกซิเจนในการหายใจ ระบบหายใจของมดและแมลงที่เป็นสัตว์บกทั่วไป ประกอบด้วยถุงลมที่มีอยู่มากมายตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่ดูดซึมออกซิเจนจากอากาศเข้าไปใช้กับเซลในร่างกาย

ปกติ มดจะอาศัยอยู่บนบก แต่มันก็สามารถอยู่ในน้ำได้เช่นกัน ซึ่งมันจะใช้ออกซิเจนที่สะสมอยู่ในตัวของมันในการหายใจ และในน้ำก็มีออกซิเจนอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก มันจึงอยู่ในน้ำได้เพียงชั่วคราว


ที่มา : หนังสือ สัตว์โลกน่ารู้ เล่ม 2
เว็บไซต์เผยแพร่ : http://gotoknow.org/blog/siriwan-ohjo/274071
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แค่มองก็ท้องเหรอ..ปลากัด?? ตัวผู้มองตัวเมียจะผลิตเซลล์ไข่ออกมาและสร้างหวอดไข่ แต่ไม่เป็นลูกจนกว่าจะใส่ตัวผู้ลงไปให้Featuringกัน แล้วแยกออก

ปลากัดแค่มองตากันก็มีลูกได้จริงหรือ...คำตอบคือ...ไม่จริง
แต่ปลากัดแค่มองตากันก็ท้องได้จริงหรือ...คำตอบคือ...จริง




เมื่อตัวผู้เพียงแค่เกี้ยว มองตาตัวเมีย (อาจจะอยู่คนละขวด)แม่ปลาจะท้องได้จริง โดยยังไม่ได้ผสมพันธุ์กัน แต่ถ้าไม่มีการผสมพันธุ์ ไข่นั้นจะไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้



 
 
 
 
ปลากัดนั้นแปลกตรงที่ตัวผู้จะเป็นผู้เลี้ยงลูก เมื่อตัวเมียตั้งท้อง ตัวผู้จะก่อหวอด คือปลาตัวผู้จะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำฮุบเอาลมอมเข้าไว้ในปาก แล้วว่ายไปใต้ใบผักหญ้าแล้วก็พ่นลมนั้นให้ลอยปุดๆขึ้นไปที่ใต้ใบไม้ ฟองอากาศนี้จะผสมกับน้ำลาย น้ำเมือกในปากของพ่อปลา เมือกนี้จะหุ้มฟองอากาศให้เป็นฟองอยู่ได้นานๆ


 
 
 

 
 
ตัวผู้จะก่อหวอดไปเวียนกลับมาคลอป้อตัวเมียเสียหน่อยหนึ่ง แล้วกลับไปก่อหวอด ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนหวอดนั้นโต เสร็จเรียบร้อยพอดีกับที่ตัวเมียท้องโต
 
 
 
 
 
 
คราวนี้จะว่ายไปข้างๆตัวเมีย แล้วมันก็งอตัวอขงมันรัดตัวเมีย รัดขวางๆตัว แล้วพลิกตัวจนตัวเมียหงายท้องขึ้นบน แต่ว่าการรัดกันของปลากัดนี้ อวัยวะเพศของปลาตัวผู้ไม่ได้สอดเข้าไปในอวัยวะเพศของปลาตัวเมียอย่างสัตว์ชนิดอื่นๆ มันเพียงแต่รัดปลาตัวเมีย แล้วปล่อยตัวอสุจิออกหมด มันก็คลายตัวออกจากตัวเมียแล้วว่ายลงไปวนเวียน อยู่ข้างใต้ตัวเมีย
 
 
 
 
 
ส่วนตัวเมียเมื่อได้กลิ่นไอของน้ำอสุจิของปลาตัวผู้ นางก็เริ่มปล่อยไข่ออกจากท้องทีละสองสามเม็ดเรื่อยๆไป ตัวอสุจิของตัวผู้เป็นแสนๆ ที่ว่ายอยู่ในน้ำนั้นตัวหนึ่งก็จะว่ายไชเข้าไปในเม็ดไข่ การผสมพันธุ์แบบนี้เป็นการผสมพันธุ์นอกท้องของมารดา ซึ่งปลาส่วนมากผสมพันธุ์กันแบบนี้


 
 
 
  คราวนี้พอแม่ปลาวางไข่ ไข่จะค่อยๆ จมดิ่งลงช้าๆ ไปยังก้นภาชนะ ปลาตัวผู้รู้หน้าที่และคอยทีอยู่แล้วก็จะฮุบอมไข่นั้นๆไว้ในปาก แล้วก็ว่ายไปที่ใต้หวอดที่ตนเตรียมไว้เรียบร้อย แล้วพ่นไข่ปุ๊ปขึ้นไปยังฟองอากาศ ฟองไข่นี้จะถูกหุ้มห้วยน้ำลายหรือเมือกเหนียวๆจากปากของพ่อปลา ทำให้ติดแน่นกับฟองหวอด ไม่หลุดออกมาง่ายๆ ถ้าไข่เม็ดไหนหลุดจมลงไป พ่อปลาก็จะอมขึ้นมาพ่นไว้ที่หวอดให้เรียบร้อยใหม่
 
 


พ่อปลาเวียนว่ายฮุบอมเอาไข่มาพ่นที่หวอดเรื่อยๆ จนกระทั่งแม่ปลาหยุดวางไข่ เพราะไข่หมดท้อง พ่อปลาจะดูแลลูก โดยไล่กัดแม่ปลาไปเสียให้พ้น เพราะแม่ปลานิสัยไม่ดีเผลอเข้า ก็ขโมยไข่ของตัวกินได้ลงคอ พ่อปลาจึงทำหน้าที่คอยระวังหวอดของมัน ภายหลังฟักเป็นลูกปลาแล้วพ่อปลาก็ยังคอยวนเวียนดูแลอยู่ ลูกปลาเกิดใหม่จะว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าหลุดจากหวอดอาจจมน้ำตาย พ่อปลาจะคอยอมลูกปลาพ่นกลับไปที่หวอด จนลูกปลาดูแลตัวเองได้ มันก็บังคับให้ลูกกระจัดกระจายแยกย้ายกันออกไปหากินเอง


แต่ว่าการไล่ลูกไปให้พ้นดูจะรุนแรงสักหน่อย คือ พอวันดีคืนดีมันจะว่ายพรวดพราดเข้าไปกลางฝูง ไล่ลูกให้แตกกระจายออกไป ถ้าลูกตัวไหนอ่อนแอชักช้าให้อยู่ต่อไปจะกลายเป็นเหยื่อปลาอื่น มันก็เลยจับกินเสียเอง

 
 
 
 
หนังสืออ้างอิง
ธรรมชาตินานาสัตว์ ของนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล ซึ่งเป็น 1 ในหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ หน้า 197-203

การเพาะปลากัด http://www.fisheries.go.th/Dof_thai/knownledge/aquarium/fighting_fish/fighting_fish_index.htm
เพิ่มเติม http://community.thaiware.com/thai/index.php?act=Print&client=printer&f=14&t=325777


The Story of the Windows 7 Beta Fish
ไมโครซอฟท์วินโดว์ 7 รุ่นเบต้า นำปลากัดไทยมาเป็น Wallpaper (ภาพพื้นหลัง)




As Microsoft has given green light to the public downloads of Windows 7 Beta 1 Build 7000, millions of testers will be greeted by the new default wallpapers of the operating system, featuring none other than the Siamese fighting fish. In fact, Windows 7 has been offering users a chance to have the creature, a member of the Betta splendens species, as their background since before Christmas 2008, when Build 7000 was initially leaked. Microsoft's reason for choosing the Siamese fighting fish for Windows 7 was rather simple. The wallpaper is included only in the Beta version of Windows 7, and not in the previous three milestone developments, because this very popular freshwater fish is actually known as betta.
http://news.softpedia.com/news/The-Story-of-the-Windows-7-Beta-Fish-101857.shtml

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"BIOPOL" พลาสติกธรรมชาติ เมื่อย่อยสลายแล้วจะได้คาร์บอนไดออกไซต์กับน้ำ แบททีเรียและเชื้อราจะย่อยสลายหมดไป คิดค้นโดย ICI (UK) 15ปทEUลงนามใช้

พลาสติกรีไซเคิล ( Plastic recycle)




ปัจจุบันเราใช้พลาสติกฟุ่มเฟือยมาก แต่ละปีประเทศไทยมีขยะพลาสติกจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของโลก จึงมีความพยายามคิดค้นทำพลาสติกที่ย่อยสลายทางชีวภาพ (Biodedradable) มาใช้แทน แต่พลาสติกบางชนิดก้ยังไม่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ ในทางปฏิบัติยังคงกำจัดขยะพลาสติกด้วยวิธีฝังกลบใต้ดิน และเผา ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมตามมา วิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับขยะพลาสติก คือ ลดปริมาณการใช้ให้เหลือเท่าที่จำเป็น และมีการนำพลาสติกบางชนิดกลับไปผ่านบางขั้นตอนในการผลิต แล้วนำกลับมาใช้งานใหม่ได้ตามเดิม

 
 
 
flow chart of rigid waste plastic recycling


15 ประเทศ หารือการใช้ BIOPOL

30th March 2009 was the date for BioreFuture 2009, the second annual European biorefinery workshop. It was hosted by two EU-funded projects, Biorefinery Euroview (http://www.biorefinery-euroview.eu) and Biopol (http://www.biorefinery.nl/biopol) at the Committee of the Regions in Brussels.


More than 100 participants attended from 15 countries, representing industry, government and academia. The objectives of the workshop were the following:

•To disseminate new information resulting from these two Europe-wide projects, which are concluding in April 2009.

•To engage the wider European biorefinery community on the technical, political and industrial issues surrounding biorefinery developments, in order to continue the interactive debate with stakeholders which was begun at BioreFuture 2008.

 
ข้อมูลต้นฉบับ http://nakhamwit.ac.th/pingpong_web/Polymer.htm
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.biorefinery.nl/biopol
บันทึก : พบบทความนี้ขณะค้นคว้า ตอบคำถาม เรื่อง องศาการเกิดพอลิเมอร์ไรเซชัน
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โลกมีมากกว่า845ภาษา "ภาษาโลก" ชื่อว่า "Esperanto(เอสเปรันโต)" จึงถูกคิดขึ้นโดย ดร.แอล.ซาเมนฮอป แต่ล้มเหลว เพราะมหาอำนาจไม่ปลื้ม แต่มีใช้อยู่

ภาษาโลก คิดแล้ว แต่ล้มเหลว..!!


โลกหลากภาษา

จากการสำรวจ พบว่าทั่วโลกมีภาษาแตกต่างกันถึง 5,000 ภาษา ภาษาที่ใช้กัน มากที่สุดในโลกคือ ภาษาจีน มีคนพูดภาษานี้ ถึงพันล้านคนเศษ รองลงมาคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี

ที่ปาปัวนิวกินีประเทศเดียว มีภาษาพื้นเมือง อยู่ประมาณ 700 ภาษา ในประเทศอินเดีย

มีภาษาแตกต่างกัน อย่างน้อย 845 ภาษา เฉพาะที่รัฐอัสสัม ซึ่งอยู่ทาง ตะวันออกเฉียงเหนือ ของอินเดีย ก็มีภาษาพูด นับร้อยภาษาแล้ว


มีผู้พยายาม สร้างภาษาโลก (world language) ที่คนทั้งโลก สามารถสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องมี กำแพงภาษา นั่นคือ ภาษาเอสเพอแรนโต (Esperanto) ผู้คิดค้นคือ นักภาษาศาสตร์ และแพทย์ชาวรัสเซีย ชื่อ ดร. แอล. ซาเมนฮอป แต่ความตั้งใจของเขา ไม่บรรลุผล


แนวคิดของภาษาโลกได้มีการคิดและประดิษฐ์มามากมายหลายภาษา แต่ภาษาประดิษฐ์ที่มีคนใช้อยู่จริงในปัจจุบันก็เป็นภาษาเอสเปรันโตนี่แหละครับ หลายๆท่านอาจรู้สึกว่า "จะคิดภาษาโลกขึ้นมาทำไมให้วุ่นวาย เอาภาษาอังกฤษ หรือภาษาอะไรก็ได้มาเป็นภาษาสากลดีกว่า จะคิดใหม่ทำไม" ก็เป็นความคิดที่ถูกต้องนะครับ แต่จะต้องมีประเทศอื่นๆไม่ยอมรับแน่นอน เพื่อความยุติธรรมศึกษาภาษาที่คิดขึ้นใหม่เลยดีกว่า และทำให้ความได้เปรียบทางภาษาของชาติมหาอำนาจหมดไป



ด้วยความง่ายของภาษาเอสเปรันโต ผมคาดว่าในอนาคตชาวโลกจะหันมาใช้ภาษาเอสเปรันโตกันมากขึ้น และเป็นภาษาที่สองของนานาประเทศตามความตั้งใจของ แอล.แอล. ซาเมนฮอฟ



มาดูตัวอย่างภาษาเอสเปรันโตกันครับ

Mi amas vin = ฉัน(กำลัง)รักคุณ
Mi amis vin = ฉัน(เคย)รักคุณ
Mi amos vin = ฉัน(จะ)รักคุณ
Vi amu min = คุณรักฉันซะ(เป็นคำสั่ง)

เอาไปใช้จีบสาวได้นะครับ เท่ห์ไปอีกแบบ
เอ้า....อย่ามัวช้าอยู่ รีบไปบอกรักเร็วเข้า!



ประวัติภาษา Esperanto


เอสเปรันโตคิดค้นขึ้นช่วงปลาย คริสต์ทศวรรษ 1870 และต้น คริสต์ทศวรรษ 1880 โดย แอล.แอล. ซาเมนฮอฟ ในช่วงเวลาพัฒนา 10 ปีนั้น ซาเมนฮอฟได้ใช้เวลาในการแปลวรรณกรรมต่างๆ มาเป็นภาษาเอสเปรันโต รวมทั้งการเขียนและพัฒนาหลักไวยกรณ์ต่างๆของภาษา โดยหนังสือไวยกรณ์เล่มแรกในภาษาเอสเปรันโต ชื่อ อูนูอาลิโบร (Unua Libro ความหมายในภาษาเอสเปรันโตว่า หนังสือเล่มแรก) ตีพิมพ์ที่ วอร์ซอว์ ในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2430 ซึ่งหลังจากนั้นจำนวนผู้ใช้ภาษาเติบโตขึ้นอย่างรวเร็วภายใน 20 ปีต่อมา โดยเริ่มต้นจากจักวรรดิรัสเซีย และ ยุโรปตะวันออก และได้เข้าสู่ ยุโรปตะวันตก อเมริกา ประเทศจีน และ ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาในปี พ.ศ. 2448 การประชุมเอสเปรันโตโลก ได้จัดตั้งขึ้น โดยจัดครั้งแรกที่เมือง บูลอน ซู แมร์ (Boulogne-sur-Mer) ในประเทศฝรั่งเศส และหลังจากนั้นมีการจัดประชุมกันทุกปี (ยกเว้นช่วงสงครามโลก) โดยเปลี่ยนสถานที่จัดไปทั่วโลก


ปล. ในภาพยนตร์แนวไซไฟ หรือแนวอนาคต ที่มีบางส่วนเป็นภาษา Esperanto เช่น เรื่อง Gattaca ของ Andrew Niccol และ Blade: Trinity ฯลฯ



สนใจศึกษาภาษาEsperanto
ศึกษาไวยากรณ์ภาษาเอสเปรันโต
เอสเปรันโต ประเทศไทย
Lernu.net เว็บสอนภาษาเอสเปรันโต (อังกฤษ)
บริการฟรีแปลคำศัพท์ ประโยค และเว็บไซต์เป็นภาษาเอสเปรันโต (อังกฤษ)

เรียนภาษาโลก http://wwwtios.cs.utwente.nl/esperanto/hypercourse

ที่มา : กูเกิลกูรู
108 ซองคำถาม,เรียบเรียงจากอินเตอร์เน็ต
รูปภาพประกอบเรื่องจากอินเตอร์เน็ต

กี่ประเทศกันแน่?? 192ประเทศที่UNรับรอง 194กทต่างประเทศUSAรับรอง 195ถ้ายอมรับไต้หวัน 257ถ้ารวมอาณานิคม+เขตพิเศษ 192สำนักนายกฯรับรอง(ตามUN)

กี่ประเทศกัน แน่ๆ ในโลกนี้??




How many countries in the world โลกเรามีกี่ประเทศ มันเป็นเรื่องแปลที่ในโลกนี้ มีจำนวนประเทศไม่ถึง 200 ประเทศ แต่ มันกับไม่มีคำตอบที่แน่ชัด เนื่องจากคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของคำตอบ และตัวเลขสูงสุดที่เป็นที่ยอมรับคือ 195 ประเทศ

จำนวนประเทศ ใน โลก จากแหล่งที่เป็นที่ยอมรับ จากแหล่งต่างๆ



192 จำนวนประเทศ จาก United Nations (หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า ยูเอ็น) ยูเอ็น. กำหนดจำนวนประเทศไว้ที่ 192 ประเทศ โดยนครรัฐวาติกัน(Vatican) โคโซโว(Kosovo) และไต้หวัน(Taiwan) ไม่ได้เป็นสมาชิกของยูเอ็น.

194 จำนวนประเทศ จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (United States' State Department) ก็ตามประเทศที่สหรัฐอเมริกามีนโยบายติดต่อกันในระดับรัฐบาล(Political Agenda) โดยสหรัฐไม่นับ ไต้หวัน เป็นประเทศ เนื่องจาก เกรงใจจีน(แต่ก่อนเคยนับเป็นประเทศ แต่เมื่อจีนออกมา ประกาศว่าไต้หวันเป็นเพียงหนึ่งในจังหวัดของจีน ทุกฝ่ายก็จังหวัดก็จังหวัด)

195 จำนวนประเทศ เป็นจำนวนประเทศในโลก ที่ยอมรับไต้หวัน(Taiwan) เป็นสหาย แต่ต้องเสี่ยงบาดหมางกับพี่จีนหน่อย เนื่องจากจีนไม่ยอมรับ ไต้หวันเป็นประเทศ จีนกล่าวว่า ไต้หวันเป็นเพียงจังหวัด 1 ของจีนเท่านั้น จึงแทบไม่มีใครใช้ตัวเลขนี้

257 จำนวนประเทศ ที่นับรวมเมืองในอาณานิคมของชาติต่าง และเขตปกครองพิเศษ เช่น ฮ่องกง

ส่วนประเทศไทย อิงตามยูเอ็นและราชบัณฑิตยสถานในการเรียงตามตัวอักษร ระบุว่า 192+1 ครับ


โลกของเรานี้มี 192 ประเทศ แยกตามทวีป ดังนี้
(อ้างตาม ยูเอ็น และ ประกาศตามสำนักนายกฯ)


ทวีปเอเชีย มี 48 ประเทศ 1.อัฟกานิสถาน 2.อาร์เมเนีย 3.อาเซอร์ไบจาน 4.บาห์เรน 5.บังกลาเทศ 6.ภูฏาน 7.บรูไนดารุสซาลาม 8.กัมพูชา 9.จีน 10.ไซปรัส 11.จอร์เจีย 12.อินเดีย 13.อินโดนีเซีย 14.อิหร่าน 15.อิรัก 16.อิสราเอล 17.ญี่ปุ่น 18.จอร์แดน 19.คาซัคสถาน 20.เกาหลีเหนือ 21.เกาหลีใต้ 22.คูเวต 23.ตีร์กีซสถาน 24.ลาว 25.เลบานอน 26.มาเลเซีย 27.มัลดีฟส์ 28.มองโกเลีย 29.พม่า 30.เนปาล 31.โอมาน 32.ปากีสถาน 33.ฟิลิปปินส์ 34.กาตาร์ 35.ซาอุดีอาระเบีย 36.สิงคโปร์ 37.ศรีลังกา 38.ซีเรีย 39.ทาจิกิสถาน 40.ไทย 41.ตุรกี 42.เติร์กเมนิสถาน 43.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 44.อุซเบกิสถาน 45.เวียดนาม 46.เยเมน 47.ติมอร์เลสเต หรือติมอร์ตะวันออก (เพิ่งได้รับเอกราชเมื่อปี 2545)

ทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก มี 14 ประเทศ 1.ออสเตรเลีย 2.ฟิจิ 3.คิริบาตี 4.หมู่เกาะมาร์แชลล์ 5.ไมโครนีเซีย 6.นาอูรู 7.นิวซีแลนด์ 8.ปาเลา 9.ปาปัวนิวกีนี 10.ซามัว 11.หมู่เกาะโซโลมอน 12.ตองกา 13. ตูวาลู 14.วานูอาตู



ทวีปยุโรป มี 43 ประเทศ 1.แอลเบเนีย 2.อันดอร์รา 3.ออสเตรีย 4.เบลารุส 5.เบลเยียม 6.บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 7.บัลแกเรีย 8.โครเอเชีย 9.เช็ก 10.เดนมาร์ก 11.เอสโตเนีย 12.ฟินแลนด์ 13.ฝรั่งเศส 14.เยอรมนี 15.กรีซ 16.ฮังการี 17.ไอซ์แลนด์ 18.ไอร์แลนด์ 19.อิตาลี 20.ลัตเวีย 21.ลิกเตนสไตน์ 22.ลิทัวเนีย 23.ลักเซมเบิร์ก 24.มาซิโดเนีย 25.มอลตา 26.มอลโดวา 27.โมนาโก 28.เนเธอร์แลนด์ 29.นอร์เวย์ 30.โปแลนด์ 31.โปรตุเกส 32.โรมาเนีย 33.รัสเซีย 34.ซานมารีโน 35.สโลวะเกีย 36.สโลวีเนีย 37.สเปน 38.สวีเดน 39.สวิตเซอร์แลนด์ 40.ยูเครน 41.สหราชอาณาจักร 42.นครรัฐวาติกัน 43.เซอร์เบียและมอนเตเนโกร




ทวีปอเมริกาเหนือ มี 22 ประเทศ 1.กัวเตมาลา 2.เกรเนดา 3.คอสตาริกา 4.คิวบา 5.แคนาดา 6.จาเมกา 7.เซนต์คิตส์และเนวิส (เซนต์คริสโตเฟอร์เนวิส) 8.เซนต์ลูเซีย 9.เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ 10.โดมินิกา 11.บาร์เบโดส 12.นิการากัว 13.บาฮามาส 14.เบลีซ 15.ปานามา 16.เม็กซิโก 17.สหรัฐอเมริกา 18.โดมินิกัน 19.เอลซัลวาดอร์ 20.แอนติกาและบาร์บูดา 21.ฮอนดูรัส 22.เฮติ




ทวีปอเมริกาใต้ มี 13 ประเทศ 1.กายอานา 2.โคลอมเบีย 3.ชิลี 4.ซูรินาเม 5.ตรินิแดดและโตเบโก 6.บราซิล 7.โบลิเวีย 8.ปารากวัย 9.เปรู 10.เวเนซุเอลา 11.อาร์เจนตินา 12.อุรุกวัย 13.เอกวาดอร์




ทวีปแอฟริกา มี 53 ประเทศ 1.กานา 2.กาบอง 3.กินิบิสเซา 4.กินี 5.แกมเบีย 6.โกตดิวัวร์ 7.คองโก 8.คอโมโรส 9.เคนยา 10.เคปเวิร์ด 11.แคเมอรูน 12.จิบูตี 13.ชาด 14.ซิมบับเว 15.ซูดาน 16.เซเชลส์ 17.เซเนกัล 18.เซาโตเมและปรินซิเป 19.เซียร์ราลีโอน 20.แซมเบีย 21.โซมาเลีย 22.ตูนิเซีย 23.โตโก 24.แทนซาเนีย 25.นามิเบีย 26.ไนจีเรีย 27.ไนเจอร์ 28.บอตสวานา 29.บุรุนดี 30.บูร์กินาฟาโซ 31.เบนิน 32.มอริเซียส 33.มอริเตเนีย 34.มาดากัสการ์ 35.มาลาวี 36.มาลี 37.โมซัมบิก 38.โมร็อกโก 39.ยูกันดา 40.รวันดา 41.ลิเบีย 42.เลโซโท 43.ไลบีเรีย 44.สวาซิแลนด์ 45.คองโก 46.แอฟริกากลาง 47.อิเควทอเรียลกินี 48.อียิปต์ 49.เอธิโอเปีย 50.เอริเทรีย 51.แองโกลา 52.แอฟริกาใต้ 53.แอลจีเรีย





ทั้งนี้ การแบ่งกลุ่มประเทศแยกเป็นทวีปเป็นไปตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี และประกาศราชบัณฑิตยสภา เรื่องกำหนดชื่อประเทศดินแดนเขตการปกครองและเมืองหลวง ประจำปี 2544 สะกดอักษรก็เช่นกัน สำหรับไต้หวัน เป็นดินแดนซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองว่ามีสถานะเป็นรัฐจากนานาชาติส่วนใหญ่



 
อ้างอิงข้อมูล อินเตอร์เน็ต , สารานุกรมโลก,หนังสือ, สมุดแผนที่แอตลาส

http://geography.about.com/
http://geography.about.com/cs/countries/a/numbercountries.htm
http://www.listofcountriesoftheworld.com/ อ้างอิงในส่วนตัวเลข 257
http://www2.nurnia.com/tag/2010s-best-value-destinations/

ที่มา : กูเกิลกูรู
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต