"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--

ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)



แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประเด็นสังคม(ค้นคว้า) แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประเด็นสังคม(ค้นคว้า) แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

"ต้องการ 3G หรือ การสื่อสารยกระดับที่ทั่วถึง และ คุ้มค่า"

ข้อมูลนำประเด็น

1) ตารางสถิติจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจการมีการใช้เครื่องมือ/อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ ปี พ.ศ. 2550 ( ลิงค์ )
2) เอกสาร สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ รายงาน.. ม.ค. - มี.ค. 52 (เพื่ออ้างอิงโดยรวมเพื่อเทียบอัตราค่าใช้จ่าย ลิงค์ )
3) อ้างเนื้อข่าว "1 ก.ย.53 เปิดใช้บริการคงสิทธิหมายเลข" เพื่ออ้างความ
จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า จำนวนเลขหมายที่เปิดใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ณ เดือน พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา มีจำนวนประมาณ 71.4 ล้านเลขหมาย ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของไทยที่มีประมาณ 65 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 109.9 อย่างไรก็ดี จากผลสำรวจศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เลขหมาย คิดเป็นร้อยละ 59.9 ในขณะที่ผู้ที่มีมากกว่า 2 หมายเลข คิดเป็นร้อยละ 40.1 ... ( ลิงค์ )
4) ตาราง 29.2 จำนวนผู้มีโทรศัพท์มือถือ จำแนกตามเลขหมายโทรศัพท์มือถือที่มี กลุ่มอายุ และเขตการปกครอง ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ. 2551  (เพื่ออ้างจำนวนของผู้ใช้โทรศัพท์บ้าน ตามนัย ลิงค์ )
5) "จาก 2G สู่ 3G สังคมไทยพร้อมแค่ไหน?" (MCOT ลิงค์ )
6) "วัยรุ่นไทยกับการใช้มือถือ" สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2550) อ้างเพื่อเทียบจำนวนและนัยเปรียบเทียบ ( ลิงค์ )
7) Thailand reaches 66 million mobile-phone numbers จาก @ipattt อ้างจำนวนและเนื้อหาเปรียบเทียบ ( ลิงค์ )

ข้างต้นไม่ระบุความเชื่อถือของข้อมูล มีทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน รวมถึงช่วงเวลาของข้อมูลอาจประเมินนัยสำคัญไม่เพียงพอ แต่มากพอที่จะนำเสนอประเด็น ดังต่อไปนี้

1) ระบบ 3G เป็นวาระของเรา ไม่ไช่วาระแห่งชาติ (ดูจากจำนวนผู้ใช้งานระบบ 3G ในปัจจุบัน และราคาอุปกรณ์ 3G ในปัจจุบัน รวมถึง อนาคต ไม่สมดุลกับรายได้ ตาม GDP ของชาติ หากนำราคามือถือ 3G ถูกที่สุดหรือแอร์การ์ดที่ราคาต่ำที่สุด ก็ยังคงใช้เฉพาะคนส่วนหนึ่งอยู่ดี  รวมถึง แน่ใจหรือไม่ว่า คนที่บางนรา แม่เสรียง  ดอยตุง จะใช้บริการได้ อย่างทัดเทียมกัน)

2) Content ในระบบ 3G หากมุ่งเน้นที่การศึกษา  3G คงเป็น Device ในการเชื่อมต่อเท่านั้น เนื้อหาการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการศึกษาก็ยังเป็นประเด็นอยู่ จึงตอบไม่ได้ว่า จะพัฒนาการศึกษาของประชาชนห่างไกลได้อย่างไรเมื่อใช้ 3G  หากระบบปกติ (ADSL) กลับมี Contents ให้ใช้บริการได้มากกว่า

3) พฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ต ต้องการแบบประจำที่ มากกว่าเคลื่อนที่ แต่อาจต้องการใช้กับคอมพิวเตอร์ Laptop มากกว่า ดังนั้น ความต้องการใช้งานภาคประชาชนห่างไกล หรือให้ทั่วถึง กลับเป็นการให้บริการแบบ ADSL ที่มีประสิทธิภาพหรือระบบอื่นใดที่ตอบสนองได้เทียมกัน

4) จำนวนเงินที่ประชาชนต้องจ่าย ค่าโมเด็ม ADSL หรือ อุปกรณ์ 3G นั้น มีนัยสำคัญที่ ราคาการเข้าถึง 3G ไม่สอดคล้องกับ GDP ของประเทศดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น และยังไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายรายเดือน เงินที่ซื้ออุปกรณ์อยู่ต่างประเทศมากกว่าในประเทศหรือไม่

ฯลฯ

อนุมานได้ว่า เราอาจต้องการ ระบบการสื่อสารที่ยกระดับ ทันสมัย เข้าถึงได้ทุกครอบครัว ทุกคน และทุกเวลาไม่เลือกอายุ อาชีพ และฐานรายได้ รวมถึง การใช้อุปกรณ์อื่นใดที่สามารถผลิตได้ในประเทศมากที่สุด ไม่กระจุกตัว และ ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องใช้ ไอโฟน บีบี ฯลฯ

ท่านมีต้นทุนทางสังคมเพียงพอที่จะกระดกคาน 3G ได้ แต่โปรดรับผิดชอบ คำว่า "ทั่วถึง" ให้ชัดเจนเมือ่ถึงเวลาที่ประชาชนห่างไกลเข้าไม่ถึง (ยกกรณีการเข้าถึง ADSL/WIFI มาสมอ้างได้) 

ผมอยากได้ 3G มาก แต่ไม่อยากถูกประชาชน ทุกระดับเหยียดว่า นำวาระ 3G เป็นเรื่องของทุกคน ซึ่งไม่ได้ใช้อุปกรณ์ 3G ใดๆเรื่อง เพียงโทรหากัน ก็สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิด อบอุ่น ในความเป็นคนไทยได้เช่นกัน ในขณะเดียวกัน ช่องว่าง ระหว่างไอโฟน บีบี และ โนเกียเบสิค ยังห่างไกลกันมาก  ชวนถามวิธีการใดๆ ที่ทำให้กระชับได้มากขึ้น

จึง กล่าวอ้างว่า นำบุคคลสมประโยชน์มาบอกกล่าวเรื่อง 3G เป็นการไม่ยุติธรรมต่อ ชาวบ้านทั่วไป ชาวสวน ชาวประมง ฯลฯ ซึ่งอาจต้องการช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพที่เข้าถึงข้อมูลแห่งองค์ความรู้มากกว่าอย่างอื่นใด

3G ยินดีต้อนรับ แต่ที่ติดปัญหาน่าจะเป็นข้อกฏหมาย ขอโจมตีภาคส่วนการเมือง และรัฐวิสาหกิจที่ไม่เสียสละ เสียดายภาษีที่ให้อดีตรัฐวิสาหกิจ และบางกลุ่มการเมือง เรื่องสมประโยชน์ก็หาช่องกฏหมายออกมาจนได้ เรื่องนี้ก็ไม่ยากเกินจะทำเช่นกัน ผลประโยชน์นี้หากเป็นการคอรัปชั่นขอให้บริโภคให้พอเพียงชั่วอายุนี้เท่านั้น และชดใช้แผ่นดินมากกว่าที่บริโภคไป.

จาก 1 เสียงประชาชน

ด้วยความเคารพ
@banchongs

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

อนาคตเยาวชนไทยเก่งแต่ไร้วินัย จริงหรือ ?? ตอนที่ 2

จากตอนที่ 1 ต่อประเด็น
นิยามอายุเยาวชนไม่พ้องกันตามความหมาย และ การวางแผนพัฒนาเช่นนี้มีผลหรือไม่??
ข้อมูลเสริม จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายประเด็นเพื่อต่อยอดวิเคราะห์ประเด็นต่อไป


ประเด็นที่ 2 เยาวชนไทยอยู่ในระบบวินัยมากกว่าวัยทำงาน

ขออนุญาตนิยามเยาวชน คือ ประชากรผู้มีอายุระหว่าง 14 - 25 ปี ในบทความนี้ โดยอ้างอิงจำนวนเชิงสถิติที่ 11.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 17.9 ของประชากรทั้งหมด (63 ล้านคน : ธ.ค. 2552)


ปัญหาของเยาวชนไทย

สาเหตุหลักของปัญหาดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการ เขาได้ค้นพบว่า สังคมไทยในอนาคตมีแนวโน้มที่อาจนำไปสู่สังคมล่มสลายเนื่องจากปัจจุบันมีปัญหาที่เกิดกับเด็กและเยาวชนไทยขั้นที่ต้องเร่งแก้ไข และกระทบกับเด็กจำนวนมาก โดยเขาจำแนกปัญหาเด็กและเยาวชนไทยเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. ปัญหาที่เกิดมาจากความยากจนและด้อยโอกาสทั้งที่มีมาแต่กำเนิด หรือผลสืบเนื่องมาจากครอบครัว หรือถูกกระทำจากบุคคลหรือสังคม
2. ปัญหาที่เกิดจากพฤติกรรมเบี่ยงเบน เช่น เรื่องเพศสัมพันธ์ ติดเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ทะเลาะวิวาท ฆ่าตัวตาย เล่นการพนัน เที่ยวเตร่สถานบันเทิง ติดเกม อินเตอร์เน็ต เข้าถึงสื่อลามกอนาจารหรือสื่อที่แสดงความรุนแรงและขับรถเร็ว 

ซึ่งถ้าเรามาวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ แล้ว เราจะพบว่าในสังคมปัจจุบันสิ่งแวดล้อมต่อตัวเด็กและเยาวชน นั้น ได้กลืนเขาเข้าสู่สังคมยุคปัจจุบัน ยุคแห่งการแข่งขัน โดยที่เด็กและเยาวชนบางรายไม่สามารถแยกได้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด แก้ปัญหาเบื้องต้นไม่ได้ เหงา เศร้า บางรายมีชีวิตอยู่เพียงผู้เดียว ไม่รู้จะปรึกษาใคร ทำให้เขาต้องกระทำในสิ่งที่ตนเองอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้
ปัญหาข้างต้น หากนำจำนวนตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติมาสมอ้างแล้ว
เป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับวัยทำงาน หรือวัยอื่นๆ ซึ่งครอบคลุม เพียงแต่การนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนกลับให้ความสำคัญกับความผิดของเยาวชน มากกว่า การตระหนักถึงสิ่งเร้าที่ทำให้เยาวชน 17.9 ล้านคนนี้ กระทำความผิด หรือ การกลับไปนำเสนอต้นตอของปัญหาที่เยาวชนได้รับอิทธิพลมา

สิ่งที่ทำให้เยาวชนสามารถอยู่ในกรอบระเบียบวินัยได้มากกว่าวัยอื่น
1) อยู่ในระบบของโรงเรียน มหาวิทยาลัย ซึ่งมีระเบียบและกฏการใช้ชีวิตที่ชัดเจนกว่า
2) อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของผู้ปกครอง บิดา มารดา และ ในการดูแลในระบบ
3) เยาวชนผู้กระทำผิด มีการคุ้มครองตามกฏหมาย นำไปอยู่ในระบบที่การใช้กฏระเบียบอย่างเข้มแข็ง
4) การขัดเกลาระเบียบวินัยของเยาวชน ทางอ้อม อาทิ การเรียน ร.ด. , กิจกรรมสังคมเสริม ฯลฯ
5) บทบาทการลงโทษ ของเยาวชนมีหลายระดับ ตัวอย่างเช่น หักคะแนนในโรงเรียน ภาคทัณฑ์ ซึ่งนอกเหนือการลงโทษจากกฏหมาย กลายเป็นว่า เยาวชนอยู่ในกรอบของสังคมได้สูงกว่า ด้วยกฏ-ระเบียบ นำพาไปสู่ความมีวินัยอย่างรอบด้าน
6) การส่งเสริมเยาวชนจากทางรัฐ และ เอกชน ส่งผลให้เยาวชนตระหนักถึงวินัยมากขึ้น อาทิ เงื่อนไขการขอทุน เงื่อนไขการเข้าทำงานในหน่วยงานรัฐ/เอกชน ฯลฯ

บทความเสริม (เนื้อข่าว กิจกรรม การส่งเสริมจริยธรรม วินัยของเยาวชน)
เด็ก เยาวชน เหยื่อแห่งการพัฒนา?
เยาวชน คือพลังสำคัญของชุมชน
เทคนิคบ้านค่ายฝึกวินัยเยาวชนเติมคุณธรรมเพิ่มความแกร่งให้ชีวิต
ฝึกอบรมทักษะชีวิตระเบียบวินัยเยาวชนสถานพินิจฯนครราชสีมา
โชว์สุดยอดไอเดียจากผลงานเยาวชนไทย
มหกรรมแสดงผลงานเยาวชน


เยาวชนมีการแสดงผลงาน และกิจกรรม มากกว่า 30,000 รายการต่อปี ใช้เวลาต่อสิ่งดังกล่าวมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด  เยาวชนที่มีปัญหาคือเยาวชนที่อยู่ในสิ่งเร้าที่ชวนให้ทำผิด และการขาดการเอาใจใส่ในภาพรวม ในขั้นต้น ชี้วัดได้จาก การดำเนินคดีต่อเยาวชนเมื่อเทียบกับวัยอื่นๆ

ข้อมูลเสริมสถิติเยาวชนกระทำผิดในศาลเยาวชนและครอบครัวทั่วประเทศ
ที่มาสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานศาลยุติธรรม


การแสดงค่านิยมทางวัตถุของวัยทำงาน (หรือผู้ใหญ่) หรือไม่ ที่สร้างสิ่งเร้าการกระทำความผิดของเยาวชน ในขณะที่แสดงความชื่นชมในวัตถุนิยมของตน  ละเลยการทำประโยชน์เพื่อสังคม ว่าร้ายการกระทำผิดของเยาวชนโดยไม่แสดงข้อแก้ไขและปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดี  นอกจากนี้  การว่ากล่าวตักเตือนเยาวชน สังคม ผลักภาระให้โรงเรียนและครอบครัวมากเกินไป ในขณะที่วัยทำงาน สร้างสังคมที่ตีกรอบคบหาและให้เวลากับวัยเดียวกันมากกว่า


หากนับความผิดในกรณีต่างๆ แล้ว วัยทำงานมากกว่าเยาวชนมากมาย
การตีความว่าเยาวชนไทยเก่งแต่ไร้วินัย เป็นการมองในมุมที่ตัดสินจากประเด็นใด??



ประเด็นที่ 3 เยาวชนไม่ได้ต้องการวัตถุ หากต้องการเวลาที่อบอุ่นและโอกาส


เสนอประเด็นนี้ด้วยเนื้อข่าวเพื่ออ้างความสอดคล้องกับหัวเรื่องข้างต้น




สิ่งที่จะถามกลับต่อวัยอื่นๆ (ที่ไม่ไช่เยาวชน) ว่า
คุณได้แสดงความมีวินัยต่อเยาวชนให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ทั้งที่สังคมสอนให้เด็กเชื่อผู้ใหญ่
คุณได้แสดงอัตตาและทาสวัตถุนิยมให้เยาวชนได้เป็นเยี่ยงอย่างหรือไม่
คุณได้ส่งเสริมสังคมและสภาพแวดล้อมใดๆ ให้เยาวชนได้รู้สึกได้รับความอบอุ่นหรือไม่
คุณได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือเพื่อคนอื่น เท่ากับเยาวชนหรือไม่


หรือเราต้องใช้ GDP ความสุขต่อเยาวชน มากกว่า GDP ทางเศรษฐกิจ


....

อนาคตเยาวชนไทยเก่งแต่ไร้วินัย จริงหรือ ?? ตอนที่ 1

เยาวชนไทย (ราชบัณฑิตยสถาน)  คือ บุคคลที่มีอายุเกิน 14 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ และไม่ใช่ เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วด้วยการสมรส

เยาวชนสากล (สหประชาชาติ) คือ คนในวัยหนุ่มสาว คือ ผู้มีอายุระหว่าง 15 - 25 ปี

ความมุ่งหวังต่อเยาวชนไทย
เยาวชน เป็นกลุ่มคนที่มีพลังอันสำคัญที่สามารถช่วยกันเสริมสร้างกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต เยาวชนควรตระหนักในคุณค่าของตนเองที่ร่วมแรงร่วมใจ สามัคคี และเสียสละส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม มีคุณธรรม จริยธรรม และสติปัญญาอันชาญฉลาด ในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามแก่สังคม และนำพาประเทศชาติสู่ความเจริญรุ่งเรือง




ถ้าพิจารณาเฉพาคำ "เยาวชนไทย" นั้น จะจำกัดถึง ระดับ "มัธยมปลาย" เท่านั้น แต่หากเป็นเยาวชนสากล จะนิยามไปถึง นักเรียนมัธยม นิสิต นักศึกษามหาวิทยาลัย ขยายไปแต่วัยพ้นรั้วมหาวิทยาลัยอีก 2 ปี (เฉลี่ยจบมหาวิทยาลัย ระดับปริญญาตรี ที่อายุ 22-23 ปี)


ประเด็นที่ 1 ประเทศไทยนิยาม อายุเยาวชนไว้ที่เท่าไร
ตามบัณฑิตยราชสถาน หรือ ตามสำนักงานสถิติแห่งชาติ กลับระบุอายุเยาวชนไว้ที่ 15-24 ปี ผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ถือเป็นวัยทำงาน (อ้างอิง ดูหน้า 3 ย่อหน้าสุดท้าย)

เป้าหมายของวันเยาวชนแห่งชาติ
         1. เพื่อให้เยาวชนช่วงอายุ 15 - 25 ปี ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาตนเอง พัฒนาชุมชน พัฒนาประเทศ
         2. เพื่อให้ประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักถึงความสำคัญต่อประเทศชาติทั้งในด้านคุณภาพคุณธรรม
         3. เพื่อให้นโยบายส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สัมฤทธิ์ผล
( อ้างอิง1  )


ในขณะที่ทางกฏหมายให้นิยามอายุเยาวชนไว้ว่า
ความหมายของ "เด็ก" และ "เยาวชน"

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ (ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า พ.ร.บ. เยาวชนฯ) ให้นิยามของคำว่า "เด็ก" และ "เยาวชน" ไว้ในมาตรา ๔ ดังนี้

"เด็ก" หมายถึง บุคคลที่มีอายุเกินเจ็ดปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกินสิบสี่ปีบริบูรณ์ "เยาวชน" หมายถึง บุคคลที่มีอายุเกินสิบสี่ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์

( อ้างอิง )

ในที่นี้ขอนำตัวเลขจำนวนประชาชน ของ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2552 
มาคานข้อมูลกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไว้ดังนี้ ( อ้างอิง )
อายุ 15 - 19 ปี จำนวน  4,801,846 คน
อายุ 20 - 24 ปี จำนวน  4,573,557 คน
อายุ 25 - 29 ปี จำนวน  5,063,368 คน

หากต้องการพิกัดตัวเลขตามนิยามข้างต้นรายอายุสามารถคำนวณได้ว่า
ประชากรที่มีอายุระหว่าง 14 - 25 ปี มีจำนวน 11.3 ล้านคนเศษ (อ้างอิงเสริม ตาราง XLS )

นิยามอายุเยาวชนไม่พ้องกันตามความหมาย และ การวางแผนพัฒนาเช่นนี้มีผลหรือไม่??


ข้อมูลเสริม จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายประเด็นเพื่อต่อยอดวิเคราะห์ประเด็นต่อไป

(เกรงรอนาน...ขอตัดตอน ประเด็นต่อไปเป็นตอนที่ 2)

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

@lekasina เรื่องเรี่ยไรครับพี่ โทษทีช้าไปนิด "การเรี่ยไรใช้ พรบ.ปี 2484 พ้องการทำบุญ โดนหลอกแล้วถึงแจ้งความได้" http://bit.ly/caN8DX #FM99

บันทึกเรื่องการเรี่ยไร
(จากทวิต @lekasina ปรารภเรื่องการเรี่ยไร สนใจร่วมประเด็นด้วย)

กรณีตัวอย่าง
ใครเคยโดน ...แก๊งเรี่ยไรเงิน แถวป้ายรถเมล์-หน้าแบงค์
(คุยกับลุงแจ่ม) http://www.oknation.net/blog/loongjame/2007/04/02/entry-2


ในขณะที่คู่มือประชาชนกำหนดกรอบการเรี่ยไรไว้กว้างๆว่า
การเรี่ยไร
ผู้ทำการเรี่ยไร ต้องมีใบอนูญาตให้ทำการเรี่ยไรติดตัวและต้องออกใบรับให้ผู้บริจาค 
http://www.thaifactory.com/Promote/PeopleHandbook.htm

ในภาครัฐมีกรอบกำหนดการเรี่ยไรไว้ชัดเจนกว่าภาคประชาชน
ตาม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2544
http://cpm.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=148&Itemid=127 

คู่มือประชาชนได้กำหนดกรอบการเรี่ยไรไว้กว้างๆ เพราะเป็นไปตาม
พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นภาพกว้างและเป็นธรรมเนียมนิยมของการเรี่ยไรอยู่แล้ว http://bit.ly/9UNSu9


"การเรี่ยไร" จึงพ้องกับ "การทำบุญ" โดยไม่ตั้งใจ


ดังนั้นการเรี่ยไรที่ไม่ขัดต่อ พรบ. ในเชิงปฏิบัติมีอยู่ข้อเดียวข้างต้น คือ
ผู้ทำการเรี่ยไร ต้องมีใบอนูญาตให้ทำการเรี่ยไรติดตัวและต้องออกใบรับให้ผู้บริจาค
แต่ผู้ออกใบอนุญาตนั้น ต้องมีการลงนามในใบข้ออนุญาต ดังตัวอย่าง





และต้องออกใบรับเงินให้กับผู้บริจาคเงินโดยองค์กร หรือมูลนิธิ ที่ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งปลัดอำเภอจะลงนามและระบุเป็นการเฉพาะกิจ ตามวันและเวลาที่กำหนดเท่านั้น


ในทางปฏิบัติ นอกจากการขอดูหนังสือขออนุญาตแล้วนั้น จะเข้าข่ายผิดกฏหมาย เมื่อ
1.กระทำการให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญฯ
2.แต่งตัวเลียนแบบให้บุคคลอื่นเชื่อถือเพื่อผลประโยชน์อย่างอื่นฯ
3.เรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้าพนักงานฯ
4.ติดตั้งไฟสํญญานวับวาบโดยไม่ได้รับอนุญาติฯ
5.กระทำการอันเป็นภัยต่อสังคมฯ

การแจ้งจับต้องมีเจ้าทุกข์ ซึ่งต้องเกิดหลังจากถูกหลอกลวงไปแล้วเท่านั้น
หากเห็นผ่านตา ไม่ได้ถูกหลอกลวง ไม่เป็นเจ้าทุกข์ 
แล้วใครล่ะจะเป็นเจ้าทุกข์..?


ที่มา : สำนักทนายความ (สงวนชื่อ) รามอินทรา
สน.รามอินทรา ขอบคุณ ตำรวจ  พ.ต.อ. ผู้ให้ข้อมูล
และพี่กูเกิล