"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--

ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)



วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

สุนัขจากมหายุค "ซีโนโซอิค" ก่อน แมลงสาบอึดมาจากยุค "เมโสโซอิค" และการแก้ตัวครั้งที่สองของของมนุษย์ในยุคนี้ (ท) http://bit.ly/bt9Rx0 #FM99

ต้นตระกูลบรรพบุรุษสุนัข แห่งมหายุค "ซีโนโซอิค"
วิวัฒนาการด้านโมเลกุลของสุนัขชี้ให้เห็นว่าสุนัขเลี้ยงนั้น (Canis lupus familiaris) สืบทอดมาจากจำนวนประชากรหมาป่า (Canis lupus) เพียงตัวเดียวหรือหลายตัว สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งชื่อพวกมัน สุนัขสืบทอดจากหมาป่าและสามารถผสมข้ามพันธุ์กับหมาป่าได้ด้วย



Canis lupus บรรพบุรุษของสุนัขสายพันธุ์ปัจจุบัน
( http://es.wikipedia.org/wiki/Canis_lupus )

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสุนัขนั้นถูกฝังลึกในด้านโบราณคดีและหลักฐานที่ตรงกันชี้ให้เห็นช่วงเวลาของการทำให้สุนัขเชื่องในยุคหินใหม่ ใกล้ ๆ กับขอบเขตของช่วงเพลสโตซีนและโฮโลซีน ในระหว่าง 17,000 - 14,000 ปีมาแล้ว ซากกระดูกฟอสซิลและการวิเคราะห์ยีนของสุนัขในยุคอดีตกับปัจจุบัน และประชากรหมาป่ายังไม่ถูกค้นพบ สุนัขทั้งหมดสืบอายุอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เชื่องด้วยตัวเองหรือไม่ก็ได้ถูกทำให้เชื่องด้วยตัวมันเองในพื้นที่มากกว่าหนึ่งพื้นที่ สุนัขที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้วอาจจะผสมข้ามพันธุ์กับประชากรหมาป่าที่อยู่ในถิ่นนั้น ๆ ในหลาย ๆโอกาส กระบวนการนี้รู้จักในทางทางพันธุศาสตร์ว่า อินโทรเกรสชัน (Introgression) 

ในยุคแรก ๆ ฟอสซิลสุนัข กะโหลก 2 จากรัสเซียและขากรรไกรล่างจากเยอรมนี พบเมื่อ 13,000 ถึง 17,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมันเป็นหมาป่าโฮลาร์กติก (Canis lupus lupus) ซากศพของสุนัขตัวเล็กจากถ้ำของสมัยวัฒนธรรมนาทูเฟียนของยุคหินได้ถูกเก็บไว้ในแถบตะวันออกกลาง มีอายุราว 12,000 ปีมาแล้ว เข้าใจว่าเป็นทายาทมาจากหมาป่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพศิลปะบนหินและซากกระดูกชี้ให้เห็นว่า เป็นเวลากว่า 14,000 ปีมาแล้วที่สุนัขในที่นี้กำเนิดจากแอฟริกาเหนือข้ามยูเรเชียไปถึงอเมริกาเหนือ หลุมฝังศพสุนัขที่สุสานยุคหินของเมืองสแวร์ดบอร์กในประเทศเดนมาร์กทำให้นึกไปถึงในยุคยุโรปโบราณว่าสุนัขมีค่าเป็นถึงเพื่อนร่วมทางของมนุษย์ 

การวิเคราะห์ทางยีนได้ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกันมาจนถึงทุกวันนี้ วิล่า ซาโวไลเนน และเพื่อนร่วมงาน พ.ศ. 2540 สรุปว่าบรรพบุรุษของสุนัขได้แยกออกจากหมาป่าชนิดอื่น ๆ มาเป็นเวลาระหว่าง 75,000 ถึง 135,000 ปีมาแล้ว เมื่อผลการวิเคราะห์ที่ตามมาโดยซาโวไลเนน พ.ศ. 2545 ชี้ให้เห็น เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมจากกลุ่มยีนสำหรับประชากรสุนัขทั้งหมด ระหว่าง 40,000 ถึง 15,000 ปีมาแล้ว ในเอเชียตะวันออก เวอร์จีเนลลี่ พ.ศ. 2548 แนะนำว่าอย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของทั้งคู่จะต้องถูกประเมินผลอีกครั้งในการค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่า นาฬิกาโมเลกุลแบบเก่าที่ใช้วัดเวลานั้นได้กะเวลายุคสมัยของเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาเกินความจริง โดยในความจริง และในการเห็นพ้องกันว่าด้วยเรื่องหลักฐานทางโบราณคดี เป็นเวลาเพียง 15,000 ปีเท่านั้นที่ควรจะเป็นช่วงชีวิตสำหรับความหลากหลายของของสุนัขหมาป่า

สหภาพโซเวียตเคยพยายามนำสุนัขจิ้งจอกมาเลี้ยงให้เชื่อง เช่นในสุนัขจิ้งจอกเงิน และสามารถนำมันมาเลี้ยงได้เพียงแค่ 9 ชั่วอายุของมันหรือน้อยกว่าอายุขัยของมนุษย์ นี่ยังเป็นผลในการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น เช่น สี ที่จะกลายเป็นสีดำ สีขาว หรือสีดำปนขาว พวกมันได้พัฒนาความสามารถในการขยายพันธุ์ตลอดปี หางที่โค้งงอมากขึ้น และหูที่ดูเหี่ยวย่น เรื่องเต็มๆ เกี่ยวกับบรรพบุรุษและการสืบสายพันธุ์สุนัข อ่านต่อได้ที่ วิกิฯ http://bit.ly/bDp4m2

อย่างไรก็ตาม มีการหักล้างในเวลาต่อมาว่า "สุนัข" มาจากสุนัขสายพันธุ์แอฟริกา
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิวัฒนาการของสุนัข และพบว่าบรรพบุรุษของมันคือหมาป่าสีเทา ในขณะที่สุนัขบ้านน่าจะเกิดในเอเซียตะวันออกเป็นที่แรก
หลักฐานก็คือความหลากหลายทางพันธุกรรมของสุนัขบ้านของเอเซียตะวันออกซึ่งมีสูงกว่าที่อื่น แสดงให้เห็นว่าสุนัขบ้านเกิดขึ้นมาในพื้นที่นั้นก่อนที่อื่นๆในโลก

แต่นักวิทยาศาสตร์รายงานในวรสาร PNAS ว่าจริงๆแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทำการศึกษาตัวอย่างดีเอ็นเอจากสุนัขกว่า 300 ตัวจากที่ต่างๆ นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าความหลากหลายทางพันธุกรรมของสุนัขที่พบในหมู่บ้านของชาวแอฟริกามีความหลากหลายไม่แพ้ในเอเซียตะวันออก

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าหมาป่าสีเทาหรือบรรพบุรุษของหมาบ้านอพยพเข้ามาในแอฟริกาเช่นกัน นอกจากนี้ธรรมชาติการเลี้ยงสุนัขในเกาะเช่นญี่ปุ่น อาจทำให้ความหลากหลายมีมากขึ้นจากการนำสุนัขจากที่อื่นเข้าไปผสมพันธุ์ หรือการมีสุนัขบ้านอยู่ตามถนนและที่ต่างๆ ทำให้มีความหลากหลายมากกว่าประเทศที่มีการควบคุมการผสมพันธุ์ของสุนัข
นั่นหมายถึงการที่หมาบ้านอาจกำเนิดขึ้นในแอฟริกาได้เช่นกัน

อ้างอิงเนื้อข่าวสำนักข่าวบีบีซี
Domestic dog origins challenged http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/8182371.stm

แมลงสาบอยู่รอดปลอดภัยมาจากมหายุค "เมโสโซอิค" 
วิวัฒนาการแมลงสาบ จากการศึกษาซากฟอสซิลของแมลงสาบ บ่งชี้ได้ว่า แมลงสาบได้ถือกำเนิดมาบนโลกนี้ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า เพราะมันได้เกิดมาตั้งแต่ยุคโบราณ(Carboniferous) 354 – 295 ล้านปีมาแล้ว ความแตกต่างของแมลงสาบโบราณกับแมลงสาบในปัจจุบัน คือช่องออกไข่ที่ปลายช่องท้องของมัน และมีการค้นพบฟอสซิลแมลงสาบที่เป็นยุคปัจจุบันคือมีรังไข่เหมือนกับปัจจุบันในยุคที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์จากโลกไปแล้ว หรือที่เรียกว่ายุค Mesozoic แมลงสาบสามารถปรับตัวได้กับทุกสภาพแวดล้อม เนื่องจากการที่แมลงสาบกินทุกอย่างเป็นอาหาร บางสายพันธุ์สามารถกินไม้ได้ด้วย แมลงสาบจะปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในประเทศที่เป็นเขตเมืองร้อน แมลงสาบในประเทศไทยจะอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน แหล่งของเสีย ขยะแมลงสาบที่อาศัยอยู่ตามฟาร์ม เช่น โรงผสมอาหารสัตว์

ในขณะที่่แมลงเกิดขึ้นมากในยุค Devonian และ แมลงสาบได้มีพัฒนาเต็มสายพันธุ์ในยุคนี้ ซึ่งเป็นแมลงที่แข็งแกร่งที่สุดในสายพันธุ์แมลงด้วยกัน
แมลง พบกำเนิดขึ้นเมื่อ 400 ล้านปีก่อน ในยุค Devonian แมลงชนิดแรกที่พบได้แก่ Rhyniella praecursor Hirst Maulik เป็นแมลงหางดีด อยู่ ในอันดับ Collembola พบที่ Scotland ต่อมายุค Carboniferous (350 ล้านปี) เป็นยุคที่เริ่มพบแมลงหลากหลายชนิดมาก ตัวอย่างเช่น แมลง Erasipteron larischi ซึ่งเป็นแมลงขนาดใหญ่รูปร่างคล้าย แมลงปอ ช่วงยุคนี้มีแมลงถือกำเนิดขึ้น 10 อันดับ โดยแมลงอันดับ Blattodea ซึ่งเป็นแมลงจำพวก แมลงสาบโดยพบมากกว่าอันดับอื่นๆ
อ่านต่อ วิวัฒนาการของแมลง http://www.sa.ac.th/biodiversity/contents/5insect/page.html

ข้อแตกต่างระหว่าง "แมลง" และ "แมง" 

แมลง
แมง
ตัวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน (ส่วนหัว, อก และ ท้อง)
 
ตัวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ( ส่วนหัวกับส่วนอก
เชื่อมกัน และ ส่วนท้อง )
ปีกส่วนใหญ่มี 2 คู่ไม่มีปีก
ขา 3 คู่ ขา 4 คู่
ตัวอย่างเช่น  แมลงดา  แมลงสาบ  แมลงกระชอน ฯลฯตัวอย่างเช่น  แมงมุม  แมงป่อง 
แมงดาทะเล ฯลฯ

ตารางการปรากฎของสิ่งที่มีชีวิตตามอายุของโลก

มหายุค(Era)
ช่วงเวลา(ล้านปี)
ยุค(Epoch)
เหตุการณ์และซากที่พบ
ซีโนโซอิค
(Cenozoic)
1.7 - 2.5
พลีสโตซีน
(Pleistocene)
เป็นยุคน้ำแข็ง มนุษย์วิวัฒนาการขึ้นในโลก
ก่อให้เกิดความหลากหลายของนกยุคใหม่

70
เทอร์เทียรี
(Tertiary)
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมลง และพืชดอก
เมโสโซอิค
(Mesozoic)
135
เครตาเซียส
(Cretaceous)
ก่อเกิดความหลากหลายในพืชดอกเกิดต้นตอของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในปัจจุบันแมลงสมัยปัจจุบันหลายชนิดปรากฏมีการสูญพันธุ์ของไดโนซอและแมลงในหลายกลุ่ม

190
จูราสซิค
(Jurassic)
เป็นยุคที่มีไดโนซอสูงสุดปรากฏพืชในกลุ่มสน เกิดต้นตอของนก พืชดอก และแมลงในยุคใหม่ในหลายลำดับและมีการหายไปของแมลงหลายกลุ่ม

255
ไตรแอสซิค
(Triassic)
มีสัตว์เลื้อยคลานที่ลักษณะคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีแมลงกระจายกว้างขวาง
ฟาลีโอโซอิค(Paleozoic)
270
เพอร์เมียน(Permian
ปรากฎแมลงในยุคใหม่ขึ้นในหลายระดับมีการหายไปของแมลงยุคโบราณ และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกยุคแรก

350
คาร์โบนิเฟอรัส(Carboniferous)
พืชที่เป็นถ่านหินที่เป็นเฟิร์นแพร่กระจายกว้างขวาง เฟิร์นที่มีเมล็ดและป่าฮอสเทล เกิดแมลงในลำดับใหม่หลายชนิดรวมถึงแมลงที่บินได้ มีความหลากหลายเพิ่มมากในซากโบราณของแมลง รวมถึงชนิดที่มีตัวขนาดใหญ่มาก ๆ มีความเด่นของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและเป็นยุคที่เริ่มเกิดสัตว์เลื้อยคลาน

400
ดิโวเนียน(Devonian)
เป็นการพบพืชมีเมล็ดเป็นครั้งแรก พบต้นตอของแมลงที่ยังไม่มีปีก พบสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ปลามีความเด่นในโลกมากที่สุด

440
ไซลูเรียน(Silurian)
เกิดพืชบกขึ้นเป็นครั้งแรก พบสัตว์บกครั้งแรกเป็นพวกกิ้งกือ ปลามีความหลากหลายมากขึ้น

500
โอโดวิเชียน(Odovician)
เป็นจุดเริ่มต้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังเป็นช่วงสร้างความหลากหลายของสัตว์ไม่กระดูกสันหลังในท้องทะเล

600
แคมเบรียน(Cambrian)
เริ่มต้นและก่อความหลากหลายในสัตว์ไม่มี กระดูกสันหลังปรากฏสัตว์ในกลุ่มอาร์โทรพอดโดยเฉพาะ trilobites
พรีแคมเบรียน(Precambrian)
3500

เริ่มเกิดสิ่งมีชีวิต พบเซลล์ซากโบราณของจุลลินทรีย์ เริ่มต้นสัตว์ในกลุ่มไม่มีกระดูกสันหลัง


มนุษย์เชื่อว่า โลกมีการพ้นยุคสุดท้ายของวัฏจักรมาแล้วรอบหนึ่ง และที่กำลังยืนอยู่บนยุคที่สอง ที่อาจจะแก้ตัวได้ 





ท้องฟ้า ผืนดิน น่านน้ำ ไม่มีอะไรที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะครอบครองไม่ได้ด้วยความสามรถที่ได้จากวิวัฒนาการ

....และในที่สุด มนุษย์ก็ก้าวออกจากความมืดของประวัติศาสตร์เพื่อครองพิภพในฐานะสุดยอดนักล่า เช่นเดียวกับ Dimetrodon เมื่อเกือบสามร้อยล้านปีมาแล้วด้วยมรดกที่ถูกส่งผ่านมาในเกลียวอมตะของ D.N.A.
ความรุ่งเรืองและสูญพันธุ์สอนเราว่า ความยิ่งใหญ่เหนือพื้นพิภพเป็นแค่ไม้ขีดที่สว่างวูบในเสี้ยวกาลแล้วดับไปอย่างไม่บอกกล่าว มนุษย์จึงควรภูมิใจกับมรดกของชีวิตและรับภาระปกครองโลกนี้ให้คุ้มค่าแม้จะเพียงชั่วครั้งคราว...เพราะไม่บ่อยนักที่เราจะได้รับโอกาสครั้งที่สอง
ที่มา : SRC: Wikipedia,Google, Kitzmiller v. Dover: Padian demonstrative slides,Evolution: What The Fossils Say And Why It Matters


*อ้างอิงเพิ่มเติม*
Carpenter, F.M. 1953. The geological history and evolution of insects. American Scientist 41 : 256-270
Engel, M.S. amd Grimaldi, D.A. 2004. New light shed on the oldest insect. Nature 427 : 627 – 630.
Levin, H.L. 1999. Ancient Invertebrates and their living relatives. Prentice-Hall, Upper Saddle River, New Jersey
Ward, J.V. 1992. Aquatic Insect Ecology 1 : Biology and Habitat. John Wiley & Sons, Inc. New York.
Williams, D.D. and Feltmate, B.W. 1992. Aquatic Insects. CAB International. Wallingford.

ไม่มีความคิดเห็น: