โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม
(Antisocial Personality Disorder)
นพ. พนม เกตุมาน
โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคมนี้พบได้บ่อย เกิดขึ้นทั่วไปแม้แต่ในครอบครัวของเรา เกิดขึ้นกับเพื่อนบางคนของเรา ทำให้เราเดือดร้อน มักจะก่อเรื่องให้เกิดความสูญเสียแก่คนอื่น และเกิดความสูญเสียแก่ส่วนรวมอย่างมาก ความจริงแล้วโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาในวัยเด็ก และการเลี้ยงดูไม่เหมาะสมมาตั้งแต่เล็ก ซึ่งสามารถป้องกันได้ แต่ก็เป็นโรคที่ถูกมองข้าม ละเลย ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน เนื่องจากเมื่อเกิดขึ้นแล้วรักษายากมาก และไม่ค่อยได้ผล
อาการ
1. ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
2. ไม่มีความรู้สึกผิด
3. ไม่มีความรับผิดชอบ
4. ก้าวร้าว ทำร้ายคนอื่น รังแกสัตว์
5. ทำลายข้าวของสาธารณะ
6. ทำผิดกฎเกณฑ์ กติกาของหมู่คณะ หรือกฎหมาย
โรคนี้มักเป็นตั้งแต่เด็ก อาการจะมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจาก ซน อยู่ไม่นิ่ง พูดเก่ง คุยเก่ง ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ชอบพูดคำหยาบ ใจร้อน ขี้โมโห เวลาโกรธจะยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ ทำให้มีเรื่องกันบ่อยๆ บางทีถึงชกต่อยกันที่โรงเรียน พฤติกรรมมักจะเลียนแบบพ่อ หรือคนในครอบครัวที่เกเร และพ่อแม่ไม่มีเวลาแก้ไขพฤติกรรมลูก ครอบครัวมักไม่อบอุ่น พ่อแม่มีปัญหาครอบครัว มีโรคทางจิตเวช หรือการใช้สารเสพติดในครอบครัว ความก้าวร้าวเกเรของจะมากขึ้นเรื่อยๆ ผลการเรียนแย่ลง เพราะไม่ค่อยเข้าเรียน ชอบโดดเรียนไปเล่นเที่ยว เพื่อนมักจะเป็นเด็กโตกว่า และนิสัยเกเรเช่นกัน ความก้าวร้าวในกลุ่มทำให้ไปมีเรื่องกับโรงเรียนอื่น
บุคลิกภาพแบบนี้ ไม่ใช่แบบต่อต้านสังคมแบบชอบทำอะไรต่อต้าน ประท้วง โวยวายไปหมดนะครับ แต่บุคลิกภาพแบบนี้จะละเมิดกฎเกณฑ์ กฎหมาย เพื่อความพึงพอใจของตนเอง เวลาต้องการอะไรจะต้องให้ได้ทันที ยั้งใจตัวเองไม่ได้ เวลาโกรธจะรุนแรง ตอนพวกเราเด็กๆเราคงเคยเจอปัญหาเพื่อนที่มีลักษณะแบบนี้ คนที่เกเรที่สุดในห้อง คนที่เราไม่ค่อยอยากเล่นด้วยเพราะเขาชอบแกล้งเพื่อนรังแกเพื่อน ทำผิดเสมอๆ ถูกดุถูกว่าบ่อยๆ โตขึ้นก็จะยังเป็นแบบนี้ ดูเผินๆอาจจะเหมือนคนปกติ เพราะเจ้าตัวจะปิดบังอาการและความไม่ดีได้บางช่วง ในสังคมเรามีคนที่บุคลิกภาพผิดปกติแบบนี้ไม่น้อย ที่เห็นชัดๆปรากฏเป็นข่าวอาชญากรรมขึ้นหน้าหนึ่งแทบทุกวัน ได้แก่พวกที่ จี้ ปล้น ฆ่า ข่มขืน แต่ที่เห็นไม่ค่อยชัดได้แก่พวกโกหก หลอกลวง โกง คอร์รับชั่น หาประโยชน์ใส่ตนหรือพรรค-พวก กลุ่มนี้จะฉลาด จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็มักจะหลุดรอดออกมาเป็นที่นับถือของคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะมีเงินมาก มีอำนาจสูง สามารถสร้างภาพให้คนหลงเชื่อได้ว่าเป็นคนดี กลุ่มหลังนี้อันตรายกว่ากลุ่มแรกมากเพราะพวกเราชาวบ้านไม่ค่อยรู้ชัดๆว่าเป็นใคร
การมีคนประเภทนี้ในสังคมทำให้เราเสียประโยชน์มากมาย นอกจากประเทศชาติจะถูกโกง คนบริสุทธิ์ถูกเบียดบังประโยชน์แล้ว ที่เห็นชัดๆก็คือ เวลาพวกนี้ทำผิด รัฐต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียวในการจัดการ ตั้งแต่การติดตามจับกุม สืบสวน สอบสวน ฟ้องศาล และดูแลในคุก นอกจากเสียเงินแล้ว เรายังเสียทรัพยากรอื่นๆ เช่น บุคลากร เวลา สถานที่ ฯลฯ ทำให้คนที่ควรจะทำอะไรเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต้องมาเสียเวลากับคนกลุ่มนี้ไม่น้อย สำหรับประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้โดยตรง ก็ต้องมาหาทางป้องกันปัญหาที่จะถูกละเมิดได้เมื่อใดก็ไม่รู้ตัว บ้านเราก็เลยต้องมีรั้วสูงๆ มีเหล็กดัดกันขโมย ทำให้เราต้องหมดเปลืองไปกับคนพวกนี้
การรักษา
การรักษาคนที่มีความผิดปกติแบบนี้ ทำได้ยากมากๆ เพราะการกระทำของเขาจะกลายเป็นนิสัยส่วนตัว เป็นบุคลิกภาพ ที่สำคัญคือเจ้าตัวมักจะไม่รู้ตัว ไม่เห็นปัญหาในการแก้ไข ไม่ร่วมมือในการรักษา การป้องกันจึงสำคัญและลงทุนน้อยกว่า
การป้องกัน
การจะป้องกันโรคนี้ ต้องตอบให้ได้ก่อน ทำไมคนถึงป่วยเป็นโรคนี้ คำถามนี้น่าสนใจมาก ถ้าเรารู้คำตอบ น่าจะป้องกันได้
ปัจจุบันเราค่อนข้างมั่นใจว่า โรคนี้เกิดจากการเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดของเด็ก การขาดการดูแลในช่วงขวบปีแรกซึ่งสำคัญมากในการสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ ความรู้สึกที่ดีต่อคนอื่น การมองโลกในแง่ดี การรู้สึกเห็นอกเห็นใจใคร จะเป็นสาเหตุใหญ่ข้อหนึ่ง ต่อมา การขาดการฝึกการควบคุมตนเอง ระเบียบวินัยในขวบปีที่สองและสาม จะทำให้เด็กขาดการควบคุมจิตใจตนเอง ทำให้เด็กเอาแต่ใจตนเอง ในวัยต่อๆมาเด็กจะเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ พี่น้อง คนในครอบครัวและใกล้ชิด ครอบครัวเป็นแบบใดเด็กก็มักจะเป็นแบบนั้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียน ก็จะเรียนรู้จากเพื่อน และครู นอกจากนี้สังคมภายนอกก็เป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็กเช่นกัน การเรียนรู้เหล่านี้ ถ้าเป็นไปด้วยดี เด็กจะมีความมั่นคงในอารมณ์ รู้จักแยกแยะดีเลว และควบคุมตัวเองให้อยู่ในกติกาสังคมได้ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะช่วยกันป้องกันปัญหานี้
ที่มา :
คลินิคจิต-ประสาท 563 ถ.สามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กทม 10300 โทร. 0-2243-2142 0-2668-9435 ส่งเมล์ถึง panom@psyclin.co.th พร้อมด้วยข้อสงสัยหรือข้อคิดเห็น
รูปภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต
เพิ่มเติม เรื่อง : แบบประเมินความผิดปกติทางอารมณ์ http://www.dmh.go.th/stydepression/knowledge/view.asp?id=29
"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--
ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น