"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--

ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)



วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รอยสักติดทน? ลึก0.6-22มม.หมึกกระจายทั่วเนื้อเยื่อ อนุภาคใหญ่เกินร่างกายขับออกได้ทั้งชีวิต แพทย์สักเพื่อกลบรอยหลังปลูกผม http://bit.ly/9GcCTn

รอยสัก อยู่นานแค่ไหน??

"รอยสัก ” (Tattoo) เป็นศิลปะของการเสริมความงามอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมานับพันปี ตั้งแต่สมัยกรีกโรมันอียิปต์ และจีนโบราณ และปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมของคนทุกชนชาติ

“รอยสัก” ตามศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า “แทตทู” หมายถึง “การตีหรือการเคาะ” ซึ่งเกิดจากการสักด้วยเครื่องสัก หรืออาจใช้เข็มซึ่งมีด้ายร้อยเคลือบสีอยู่ แทงผ่านตามตำแหน่งที่ต้องสักลงไปที่ผิวหนัง เป็นต้น

ปัจจุบันการการสักพัฒนาไปมาก เครื่องมือที่เป็นที่นิยมที่สุดเป็นเข็มที่ใช้มอเตอร์ในการทำให้ขยับแทงในผิวหนังลึกระหว่าง0.6-22 มิลลิเมตร เมื่อแทงลงไปหมึกจะแพร่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อ ดูดซึมเก็บสะสมไว้ โอกาสที่จะเปิดปฏิกิริยาที่เป็นเชิงลบจากหมึกที่ใช้สักมีน้อยมาก โดยปกติแล้วสิ่งแปลกปลอมจะถูกขจัดจากร่างกายโดยใช้กลไกป้องกันตามธรรมชาติ แต่อนุภาคของหมึกนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะถูกขจัดออกไปด้วยกลไกนี้ได้

การสักในปัจจุบันได้พัฒนาโดยใช้วัสดุปลายติดกับเครื่องไฟฟ้า และสักสีลงไปในชั้นใต้ผิวหนัง ผู้สักจะใช้วิธีจุ่มเข็มชุบสี สีที่ใช้เป็นพวกที่เข้ากลุ่มของโลหะซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
จุดประสงค์ ของการสักผิวหนังมีหลายอย่างเช่นการบ่งบอก วัฒนะธรรมทางสังคม ความอยากเด่นอยากดัง เชื่อว่าการสักร่างกายเป็นการป้องกันภัยได้อย่างหนึ่ง ในปัจจุบันการสักร่างกายเกิดจากความพอใจต้องการให้มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม ตำแหน่งที่นิยมสักคือสะดือ สะโพก และอวัยวะเพศ ภาพที่ใช้สักมักจะเป็นรูปปลา รูปมังกรดอกไม้และลวดลายศิลปต่าง ๆซึ่งมีความหมาย สวยงาม

สำหรับประโยชน์ทางการแพทย์ในการสัก ใช้ในการกลบโรครอยด่างขาว การสักลงไปในช่องว่างระหว่างผมหลังการปลูกผมเพื่อให้ดูมีผมดกดำขึ้นหลังจากปลูกถ่ายผม หรือการสักบริเวณขอบตาและหัวคิ้วเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาขนร่วงบริเวณดังกล่าว เป็นต้น

อันตรายจากการสักมักทำให้เกิดการติดเชื้อโรคชนิดต่างๆเช่น วัณโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรียและปฏิกิริยาจากสีซึ่งสักลงไปปัจจุบันใช้สารที่นิยมใช้เป็นสีหลายชนิดมักเป็นโลหะหนัก เช่น สารปรอท แร่เหล็ก แร่โคบอลด์ เป็นต้น สารเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาบางอย่างโดยเฉพาะสารสีแดงของโลหะจะพบได้บ่อยที่สุด

การลบรอยสัก ทำได้2วิธี คือการผ่าตัดและการใช้กรดไนตริดหรือ กรดซัลฟูริกกำจัดรอยสักเหล่านี้ออกจากผิวหนังได้หลังจากลบรอยสักแล้วผู้ป่วยต้องดูแลแผลตามคำแนะนำ ของแพทย์ใช้เวลาประมาณ 7-10วัน ถ้าแผลไม่อักเสบไม่ว่าจะเป็น “การสัก”หรือ ลบรอยสักก็ตาม ขอให้อยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ

ที่มา : กองสุขศึกษา http://www.thaihed.com/
วิกิฯ การสัก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%81
 


Geek Science ได้มีการถกประเด็นนี้ไว้
How do tattoos last for so long in the skin?

Asked by Bruce, California

We put this to Neil Walker, consultant dermatologist in Oxford
 
Tattoos by definition are permanent marks produced on the skin by the injection of the material by a puncturing. As a dermatologist, I see a variety of tattoos, not any of those which have been applied by a so-called tattoo artist, either a professional or amateur, sober or drunk. Occasionally, I see people who’ve had a black kind of tattoo, where a dye called PPD is used, which can cause nasty skin reactions.


Appropriately applied henna tattoo is not a tattoo at all. Rather, it’s a drying process using the paste to produce a design in the dead outer layers of the skin. The design fades as the skin regenerates and that is one of clues as to why tattoos applied by puncturing are permanent. Our skin is continually regenerating as the outer layers or epidermis grows from basal cells at the bottom to a dead hole-y layer at the top over a period of six to eight weeks.

Pigments implanted beneath the growing layer are in the dermis or supporting layer of the skin and are not removed by the natural process of skin turnover. The body recognizes pigment granules as foreign material and there are cells whose function is to remove such material by engulfing them and transporting it to the lymph glands. These cells are unable to engulf pigment granules every certain size and, therefore, the body seem to surround them at their microscopic level by a thin layer of fibrous or scar tissue. And they become permanently trapped in the dermis.

The removal process continues slowly and tattoos may fade to a degree over time with different colours fading at different rates depending on the particle size of the pigment. In summary, tattoos are permanent because pigment particles are injected under the growing layer of the skin and the body’s mechanisms for dealing with foreign materials can't remove the particles over a certain size.

(กำลังแปลและปรับปรุงเนื้อหา-28/07/53)
วัยรุ่นกับรอยสัก (รพ.ยันฮี) http://www.yanhee.co.th/2007/knowledge.php?knowID=66#
ผู้หญิง..ที่มีรอยสัก.Tattoo มากที่สุดในโลก และได้รับบันทึกไว้ใน กินเนส บุ๊ค 2011..
เพื่อลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากโรคประจำตัวชนิดหนึ่ง http://www.oknation.net/blog/khox/2010/06/28/entry-1



ข้อมูลเพิ่มเติม :
ว้าวว... รอยสักพิสูจน์รักแท้
 
"แอนดี้ ชีสแมน" ชายชาวเมืองนอร์ฟอล์ก ทางตะวันออกของเกาะอังกฤษซึ่งปัจจุบันอายุปาเข้าไป 49 ปีแล้วที่อุตส่าห์พิสูจน์ความรักที่มีอยู่เต็มห้องหัวใจเพื่อหวังให้ "แอนเน็ต ลอว์" หญิงสาวที่ตนเองรักได้ประจักษ์แก่สายตา โดยการลงทุน "สัก" ชื่อของ "แอนเน็ต" ลงบนท่อนแขนของเขาเองเมื่อ 32 ปีก่อน(ช่วงนั้นแอนดี้อายุราวๆ 17 ปี)


แต่น่าเสียดายที่สาวเจ้ายังไม่ทันได้เห็น "รอยสักพิสูจน์รักแท้"ทั้งสองก็มีอันต้องสวมคอนเวิร์สแยกกันไปคนละทิศคนละทางเสียก่อน กระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 20 ปีต่างฝ่ายต่างผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2 ครั้ง กว่าที่แอนดี้และแอนเน็ต จะเป็นอิสระและได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งในงานรวมรุ่นเพื่อนเก่า  ที่มา : กระปุกดอทคอม http://hilight.kapook.com/view/8897


สัก (tattoo)... ความปลอดภัยที่ต้องคำนึง


ผู้เขียนทราบจาก history of tattoo ว่ามีนักวิทยาศาสตร์บางคนกล่าวว่า รอยสักปรากฏ ในร่างกาย ของมัมมี่ ๓๓๐๐ ปี ก่อนคริสตศักราช บางแห่งก็ว่า มีในร่างกาย ของมัมมี่ ในอียิปต์ และ นูเบียน ๒๐๐๐ ปี ก่อนคริสต ศักราช ดังนี้ เป็นต้น ชาวกรีก และ บรรพบุรุษ ของชาว เยอรมัน, ชาวกอลส์ (ยุโรปตะวันตก ในยุคโบราณ รวมทั้งทางตอนเหนือ ของอิตาลี ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และทางใต้ ของเนเธอร์แลนด์) ชาวอังกฤษ โบราณ ก็มีรอยสักเช่นเดียวกัน แต่สำหรับ คริสเตียนแล้ว รอยสักกลับเป็น สิ่งต้องห้าม ในแถบยุโรป ส่วนในญี่ปุ่น สักเพื่อแสดง ความเป็นสมาชิกในแก๊ง ทางตะวันตกถือการสัก เป็นศิลปะ อย่างหนึ่ง เพื่อความสวยงาม


ในส่วนของกะลาสีเรือแล้ว รอยสักกลับเป็นที่นิยม ตั้งแต่สมัย กัปตันคุก ในปีคริสตศักราช ๑๗๐๐ กว่านั้น รอยสัก นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ดึงดูดใจ ของทหารเรือมาแล้ว

การสักไม่ง่ายอย่างที่คิด และต้องทนเจ็บไม่น้อยเลย ผู้ปรารถนา รอยสักบนผิวหนัง ก็ไม่กลัว สามารถ ทนเจ็บได้ หากเป็นรอยสักใหญ่ ต้องใช้เวลาสักนาน หลายชั่วโมงก็ยังยอม
อ่านต่อ (สารอโศก อันดับที่ ๒๕๑ สิงหาคม ๒๕๔๕) http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Sanasoke/sa251/131.html

" รอยสัก " สักตรงไหนเจ็บตรงนั้น


ถ้าผมอยากมีรอยสักสวยๆสักอันที่แขนซ้าย ผม ก็ลงมือให้ช่างสัก บรรจงเอาเข็มมาทิ่มแทงอย่างกระหน่ำที่แขนซ้ายของผมได้อย่างเต็มที่ ความเจ็บปวดมันก็จะอยู่ที่ตรงแขนซ้ายเท่าั้นั้น ไม่ว่าุณจะเลือกสักที่มาบุญครอง สวนจตุจักร หรือแม้กะทั่งท่สะพานพุทธ คุณก็จะเจ็บที่แขนซ้ายเท่านั้น (เอ๊ะ มุขนี้ตามกันทันไหมนี่)

แต่กับ ความรัก ไม่ ว่าคุณจะูอยู่ที่ไหน ไม่ว่าคุณจะกุมมือซ้ายหรือมือขวาของเขาเอาไว้ ไม่ว่าคุณกำลังจะทำอะไร แต่ถ้าคุณถูกปฎิเสธจากเขามาเมื่อไหร่ ความเจ็บปวดมันจะมาอยู่ " หน้าอกข้างซ้าย " ที่เดียวเท่านั้น ซึ่งก็ไมรู้ว่าทำไม



" รอยสัก " ลบได้ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ยันฮีเอย , ร.พ.บางมดเอย สมัยนี้เขาลบรอยสักได้อย่างแนบเนียนไม่มีล่องรอยของแผลเป็นแล้ว และที่สำคัญ " เจ็บน้อยกว่าตอนสักอีก " หายเป็นปริดทิ้งไม่หลงเหลือล่องรอยที่ติดทนนานได้อย่างเกลี้ยงเกลา เหมาะสำหรับคนที่มีรอยสักที่ฝังแน่น และอยากที่จะลบทิ้งมันไป แต่สำหรับ " ความรัก " ไม่มีเทคฯที่ทันสมัยชนิดไหน ที่มาลบมันออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา มันยังติดทนนานและไม่มีทีท่าว่าจะจางลงไปซะด้วยสิ  และคงมีเพียง " เวลา " เท่านั้นแหละ ที่สามารถลบมันออกไปได้ แต่จะนานเท่าไหร่ล่ะ ?
อ่านต่อ http://lovesicklifesuck.blogspot.com/2009/05/blog-post_31.html

ไม่มีความคิดเห็น: