คางคก (Toad) จัดอยู่ในประเภทสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เช่นเดียวกับกบคางคกมีต่อมพิษอยู่ที่เส้นสันหลัง ใต้ตา และเครื่องในบางส่วน ถ้านำมารับประทานอาจถึงแก่ชีวิตได้ ส่วนใหญ่คนที่กินคางคกมักคิดว่ากินแล้วมีกำลังวังชาและรักษาโรคได้ แต่ความจริงแล้วคางคกไม่มีตัวยาแก้หรือรักษาโรคอะไรเลย
เป็น amplibian หรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ Class Amphibia , Family Bufonidae มีต่อมพิษ Parotid อยู่บริเวณใต้ผิวหนังใกล้หู เป็นต่อมที่เก็บและขับสารพิษที่ชาวบ้านเรียกว่า " ยางคางคก " คางคกที่พบในประเทศไทย แบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้ 4 ชนิด คือ Bufo macrotis , Bufo asper, Bufo parvus และ Bufo melanostictus คางคกทุกชนิด ใน genus Bufo มีพิษทั้งสิ้น คางคกชนิดที่พบในทุกภาคช่วงฤดูฝนคือ Bufo melanostictus หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า คางคกบ้าน ลักษณะเด่นของคางคก ก็คือ หนังที่ขรุขระเป็นตะปุ่ม ตะป่ำใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณด้านหลัง คางคกมักอาศัยอยู่ตามพื้นดิน ชอบหลบซ่อนตัว อยู่ ใต้ก้อนหิน ขอนไม้ และซอกโพรงดิน ฯลฯ มีนิสัยชอบออกหากินในเวลากลางคืน กินตัวแมลงและหนอนเป็นอาหาร คางคกที่อาศัยอยู่ตามบ้านที่เรามักคุ้นเคยและพบเห็นอยู่บ่อย ๆ คือ Bufo melanostictus มีขนาด ความยาวจากจมูกถึงก้น ประมาณ 10 เซนติเมตร ส่วนชนิดที่พบทางภาคใต้ จะมีขนาดใหญ่กว่ามากคือ Bufo asper ซึ่งมีขนาดความยาวถึง 22 เซนติเมตร
โดยธรรมชาติ คางคกจะมีพิษที่สร้างจากร่างกายของมันโดยต่อมพาโรติค แล้วหลั่งมาสู่ผิวหนังเมื่อสุนัข แมว หรือสัตว์ชนิดอื่นสัมผัสหรือเลีย พิษของคางคกจะทำให้ประสาทหลอน เพราะมีส่วนประกอบของสารกลุ่มแคติโคลามีนอินดอล อังคิลเอมีน ซึ่งมีฤทธิ์หลอนประสาท เมื่อได้รับพิษมันจะซึมผ่านเร็วมาก ทางเยื่อเมือก เช่น ผ่านลิ้น ปาก หรือ ตา หากสุนัข แมว เผลอไปสัมผัสหรือเลีย พิษในตัวคางคก ไม่สามารถทำลายด้วยความร้อนได้ แม้ว่าจะนำมาย่าง ปิ้ง ผัด ทอด เมื่อได้รับพิษผู้ป่วยจะแสดงอาการมึนงง สับสน วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน ชีพจรเต้นช้าลง และอาจเสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย ดังนั้นก่อนคิดจะรับประทาน ควรศึกษาวิธีการเอาเส้นพิษบริเวณผิวหนังคางคกออกก่อนนำไปประกอบอาหาร พิษในตัวคางคก ไม่สามารถทำลายด้วยความร้อนได้ แม้ว่าจะนำมาย่าง ปิ้ง ผัด ทอดเมื่อได้รับพิษ ผู้ป่วยจะแสดงอาการมึนงง สับสน วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน ชีพจรช้าลง และอาจเสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจวาย
คางคก เป็นสัตว์มีพิษ โดยมีต่อมพิษอยู่ที่เหนือตา เรียกว่า ต่อมพาโรติค เป็นที่เก็บและขับพิษออกมา เรียกว่ายางคางคกมีลักษณะเป็นเมือกสีขาวคล้ายน้ำนม โดยส่วนประกอบของสารพิษ คือ สารบูโทท็อกซิน มีผลต่อการกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจบีบตัว และในส่วนอื่นๆของคางคกยังมีพิษอีกทั้งผิวหนัง เลือด เครื่องใน และไข่ หากกรรมวิธีการปรุงไม่ดี จะทำให้ ผู้กินได้รับพิษได้ ทั้งนี้ผู้รับประทานเนื้อคางคกที่มีพิษจะมีอาการแขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หายใจหอบ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และหากยางคางคกถูกตาจะทำให้เยื่อบุตาและแก้วตาอักเสบได้ ตาพร่ามัว จนถึงขั้นตาบอดได้
ที่มา : คลังปัญญาไทย http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%81
MCOT News ชี้ภัยเมนูคางคก มีพิษอันตราย ความร้อนทำลายพิษไม่ได้ http://news.mcot.net/politic/inside.php?value=bmlkPTE3MjExJm50eXBlPXRleHQ=
วิชาการดอทคอม, ห้องสมุดวิทยพัฒน์
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
เพิ่มเติม (พิษของกบ)
กบมีพิษ มีถึง 40 ชนิดทั่วโลก ส่วนใหญ่พบในแถบประเทศร้อน ที่มีฝนตกชุก ที่พบในเมืองไทยเป็นประเภทที่มีพิษ อยู่ที่เล็บ (Dentrobate frog) ลักษณะลำตัว มีสีสันสดใส สังเกตได้ง่าย ในขณะที่มันจะลงมือทำร้ายศัตรู ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ เรียกว่า หมาน้ำ เพราะเสียงร้องของมันคล้ายลูกสุนัขเห่า ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่า สางห่า ผู้ที่ถูกพิษของมัน มีอาการเจ็บปวดมาก และถ้ารักษาไม่ถูกต้อง จะตายในเวลาอันรวดเร็ว
เคยมีผู้พบเห็นกบชนิดนี้ ที่อำเภอศรีสวัสดิ์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จังหวัดชุมพร และบริเวณเทือกเขาภูพาน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นถูกพิษของหมาน้ำเสียชีวิตไปหลายคน แม้ในปัจจุบันก็ยังไม่ปรากฏว่ ามียารักษา หรือเซรุ่มที่ใช้รักษาพิษของกบเหล่านีได้โดยตรง ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ในประเทศไทย มีผู้ทดลองใช้ใบเสลดพังพอนสดรักษาตามแบบแผนโบราณ โดยอ้างว่าแก้พิษหมาน้ำได้
ที่มา: ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสิ่งเป็นพิษ ตอนที่ 1 และ 2 พ.ศ. 2535.กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หน้าที่ 65-67
( จาก เวป ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา)






ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น