"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--

ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)



วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โลกมีเส้นรอบวง40,000กม.หมุนรอบตัวเอง0.46กม./วิ ได้เท่ากันทุกคน ยืนเฉยๆโลกก็วิ่ง 30กม./วิ อยู่ดี>>แล้วจะรีบเร่งชีวิตไปทำไม เร่งทำดีซิ..ทันโลก

จ ะ รี บ ไ ป ใ ย


ปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหมดในโลกนี้ส่วนใหญ่มาจากฝีมือมนุษย์ และถ้าเจาะให้ถึงฐานกันจริงๆ แล้ว จะพบว่าตัวการใหญ่คือ ความโลภหรือความอยากได้อยากมีของมนุษย์นั่นเอง ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการใช้และทำลายทรัพยากรธรรมชาติบนโลกได้รวดเร็วอย่างน่ากลัว



ความโลภหรือความอยากได้อยากมีนี้โยงใยไปถึงการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทั้งในด้านการบริโภค การงาน หรือแม้กระทั่งการกีฬา ซึ่งแทนที่จะเป็นกิจกรรมให้คนมีสุขภาพดี มีน้ำใจเป็นนักกีฬา มีความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์ มีความเมตตาต่อผู้ที่อ่อนด้อยกว่า มนุษย์กลับทำให้กีฬากลายเป็นธุรกิจ ที่ในผลสุดท้ายแล้ว นักกีฬาเด่นดังเหล่านั้น ก็มีชีวิตไม่ต่างกับทาสในสมัยก่อน ไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ในตัว ต้องถูกซื้อถูกขายถูกโอนไปอยู่กับต้นสังกัดใหม่ๆ ตามแต่สัญญาและเงินจะเป็นตัวลากจูงไป


การแก่งแย่งกันเพื่อก้าวหน้าเหนือคนอื่น การช่วงชิงเพื่อการบริโภค (ไม่ว่าจะเป็นน้ำ อาหาร หรือแม้กระทั่งการบันเทิง) หรือการเร่งรีบในกิจกรรมในแต่ละวันของแต่ละคน ล้วนแต่เป็นสิ่งบั่นทอนความสงบของชีวิต และความสงบไม่ใช่หรือที่เป็นความสุขสุดยอดที่มนุษย์จะพึงหาได้


มีคนเคยบอกว่า ผู้คนในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร หรือกรุงนิวยอร์ก ใช้เวลาเดินทางจากบ้านไปถึงที่ทำงาน เท่ากับเวลาที่ชาวนาแถวอยุธยาใช้เดินไปที่นาของตน แม้ว่าคนในกรุงเทพมหานครหรือกรุงนิวยอร์กนั้นจะมีรถยนต์ส่วนตัว มีรถไฟฟ้า มีอะไรต่อมิอะไรที่อำนวยความสะดวกอีกหลายสิ่งหลายอย่าง และชาวนามีเพียงแค่ขาสองข้าง



"แล้วถ้าเช่นนั้น เราจะรีบเร่งกับชีวิตของเราให้เกิดความเครียดไปทำไมกัน"



หลายคนอาจรู้ว่ามนุษย์วิ่งเร็วที่สุดประมาณ 10 เมตร ต่อวินาที ซึ่งหมายถึงว่า ใน 1 วินาทีนั้นมนุษย์วิ่งได้ระยะทางถึง 10 เมตร นี่เทียบดูจากสถิติการวิ่งแข่ง 100 เมตรของนักกีฬาระดับชาติกับระดับโลก ที่ทำเวลาได้กันประมาณ 9.80 ถึง 10.80 วินาที


แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าโลกนี้หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วเกือบ 500 เมตรต่อวินาที ซึ่งนั่นหมายความว่า ต่อให้เรายืนอยู่เฉยๆ โดยไม่ก้าวไปไหนเลย เราก็เดินทางอยู่แล้ว (ไปพร้อมกับผิวโลก) ด้วยอัตราเร็ว 500 เมตรต่อวินาทีนั้นด้วย เรียกว่าแม้กระทั่งขณะหลับเราก็ยังเดินทางอยู่ด้วยอัตราเร็วนี้อยู่นั่นเอง ซึ่งอัตราเร็วนี้เร็วกว่านักวิ่ง 100 เมตรแชมป์โลกแชมป์โอลิมปิกถึง 50 เท่า



"แล้วจะเร่งรีบให้กับชีวิตของเราไปใย"



มิเพียงเท่านั้น หากมองไปให้ไกลกว่านั้นอีก และมองไปถึงความเร็วของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ นักวิทยาศาสตร์เขาคำนวณไว้แล้วว่า การโคจรของโลกนี้ไปเร็วถึง 30 กิโลเมตร / วินาที เร็วกว่านักวิ่งร้อยเมตรถึง 3,000 เท่า ซึ่งนั่นก็หมายความว่า แม้ขณะนั่งตากลมอยู่ใต้ต้นไม้ที่ไหนสักแห่ง เราทุกคนก็กำลังเคลื่อนที่ (ไปกับโลก) ด้วยความเร็ว 30 กม. / วินาที หรือ 108,000 กิโลเมตร / ชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าเครื่องบินไอพ่น หรือจรวดอวกาศไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร โดยไม่ต้องกระดิกเท้าก้าวย่างออกไปแม้แต่นิดเดียว



"แล้วเราจะรีบเร่งกับชีวิตไปทำไม"



ยิ่งถ้ามองไปถึงระดับระบบสุริยะของเรา ซึ่งโคจรอยู่รอบกาแลกซีของทางช้างเผือก จะพบว่าขณะที่เรากำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่เฉยๆ เราก็กำลังเคลื่อนที่เดินทางด้วยความเร็วสูงถึง 250 กิโลเมตร / วินาที ซึ่งถ้ามองให้ทะลุถึงระดับนี้แล้ว และถ้าทำความเข้าใจให้ดีพอแล้ว เราจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าอันตัวเรานั้นเล็กยิ่งกว่าธุลีในระบบสุริยะ อันความสำคัญของตัวเราที่หลายคนติดยึดกันนักหนานั้น แท้จริงแล้วไม่มีความหมายอะไรเลยในระบบที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวางมหาศาลขนาดนี้


ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะเร่งรีบแก่งแย่งกันไปทำไม จะโลภอยากได้อยากมีอะไรกันไปถึงขนาดไหน จะบริโภคทรัพยากรกันให้มากที่สุดเท่าที่จะบริโภคได้ไปทำไม


หันมาสำรวจตัวเอง ดูสิว่าเราเองนั้นเป็นผู้บริโภคทรัพยากรธรรมชาติของโลกเกินเลยไปหรือไม่ มีทางใดที่จะลดการบริโภคนั้นลงได้หรือไม่ จะมีกำลังใจที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการทำลายสิ่งแวดล้อมลงได้หรือไม่


ถ้ายังไม่…แบบนี้ก็เรียกว่ามีแค่ความตระหนัก แต่ยังไม่พัฒนาไปจนถึงระดับมีจิตสำนึกให้ถึงระดับลงมือปฏิบัติ


ซึ่งถ้าเราหยุดเพียงแค่นี้ ก็อย่าหวังเลยว่าโลกนี้จะมีคุณภาพที่ดีขึ้นได้


ฉะนั้น อนาคตสำหรับโลกใบนี้ ซึ่งมีอยู่ใบเดียวนั้น อยู่ที่พวกเราทุกคน


-โลกเรามีเส้นผ่าศูนย์กลาง (D) 12,756 กิโลเมตร ดั้งนั้น เส้นรอบวงจะประมาณ pD หรือประมาณ 40,000 กิโลเมตร ซึ่งถ้าโลกหมุนรอบตัวเองได้ในเวลา 24 ชั่วโมงก็จะเท่ากับหมุนเร็วประมาณ 40,000 / (24 x 3,600) = 0.46 กม./วินาที


-วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์มีรัศมียาวเฉลี่ยประมาณ 149,600,000 กม. ซึ่งถ้าโลกใช้เวลา 365 วันในการโคจรนี้ จะคำนวณได้ว่าโลกกำลังวิ่งเร็วถึง (2 p x 149,600,000) / (365 x 24 x 3,600) = 30 กิโลเมตร / วินาที


ที่มา : ศูนย์แบ่งปันความรู้ ม.น.ข.

ไม่มีความคิดเห็น: