"ความรู้ ไม่ใช่ปัญญา" (Knowledge is not wisdom.) --ไอน์สไตน์--

ความรู้เป็นเรื่องของความความคิดตาม ประสบการณ์ การทดลอง หรือองค์แห่งสาระ มากมายตำรา มาให้อ่านและเพิ่มพูน แต่ปัญญาเป็นเรื่องทางจิตใจ ความเข้าใจ ประกอบโดยสติและรู้เท่าทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการรู้เท่าทันตนเอง ตรงนี้เอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ไม่ได้เกิดจากความรู้เยอะ แต่น่าจะเกิดจากมีปัญญาไม่พอ ที่จะประคองชีวิตให้พ้นผ่านอุปสรรค (ขยายความจาก "ความรู้ ไม่ไช่ปัญญา - Khowledge is not wisdom" คำจาก ไอน์สไตน์)



วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ยาหลอก?? ยามีน้ำตาล&แป้ง ผลเรียกThePlaceboEffect เพื่อช่วยให้คนไข้คาดหวัง+ศรัทธา ผลิตฮอร์โมนฯ รักษาได้ดีขึ้น และเพื่อทดสอบยา ไม่ผิดจริยธรรม

ฤทธิ์ผลของยาหลอก


ฤทธิ์ผลจากยาหลอก เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ธรรมดาที่สุดที่เราพบเห็นได้ในทางการแพทย์ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องราวที่ลึกลับและทรงพลังอยู่ในปัจจุบัน ยาหลอก หมายถึง น้ำตาลหรือแป้ง หรือสารที่ไม่ก่อเกิดขบวนการทางเภสัชในการรักษา ที่นำมาอัดแล้วเคลือบให้ดูเป็นเม็ดยาหรืออยู่ในแคปซูลหรือเตรียมเป็นยาฉีด ยาน้ำ หรือรูปแบบยาอื่นๆ ก็ได้แล้วนำมาใช้ในการแพทย์ จุดประสงค์ที่นำมาใช้ มีสองประเด็นหลักคือ เพื่อจ่ายให้แก่คนไข้ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกที่ดีขึ้นต่ออาการของตน บรรเทาอาการอาการเจ็บป่วยลงไป นอกจากนี้ ยาหลอกยังถูกใช้เป็นตัวอ้างอิงเปรียบเทียบเพื่อคอนโทรลการทดลองทางคลินิกเพื่อทดสอบยา เพื่อให้ทราบประสิทธิภาพของยาจริง (ยาที่ออกฤทธิ์ตามกลไกเภสัชศาสตร์จริงๆ) ยาหลอกไม่เพียงแต่หมายถึง แป้ง,น้ำตาล ที่ทำเป็นรูปแบบยาต่างๆ เท่านั้น แต่ยังหมายถึงขบวนการทางแพทย์อีกด้วย เช่น การผ่าตัดที่ ไม่ได้ผ่าตัดอวัยวะใดๆ อาจผ่าตัดเพียงผิวหนังเล็กน้อยไปบ้าง กรณีที่แพทย์ตรวจสภาพร่างกายคนไข้แล้วมีปฏิสัมพันธ์กับคนไข้เล็กน้อย พูดจาปลอบขวัญให้กำลังใจก็ถือว่าเป็นการให้ยาหลอกได้เหมือนกัน ได้มีการศึกษาวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า เมื่อให้ยาหลอกบำบัดรักษาแก่ผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ เช่น เจ็บปวด, ความดันสูงและโรคหืดหอบ ผลปรากฏว่ามีคนไข้จำนวนร้อยละ 30-40 มีอาการดีขึ้น สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ (angina pectoris) คณะวิจัยได้ดำเนินการวางยาสลบและผ่าตัดผิวหนังคนไข้ออกไปเล็กน้อย ผลปรากฏว่า คนไข้อาการดีขึ้น ถึงร้อยละ 80 ต่อคำถามที่ว่า ทำไม แป้ง,น้ำตาลที่นำมาเป็นยาก็ดี การผ่าตัดหลอกๆ ก็ดีก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบำบัดรักษาได้อย่างไร




The Placebo Effect
ยาหลอกที่จะนำไปใช้ในการทดลองเป็นตัวอ้างอิงในการทดลอง ผลทางคลีนิคต้องหลอกทั้งผู้ทำการทดลองและผู้ถูกทดลองในภาพเหมือนยาจริงมากที่สุดต้องเป็นเม็ดยาแถวที่ 3 แถวบนสุดแม้นเม็ดยาเหมือนกันทั้งขนาดและสี แต่มีตัวอักษรพิมพ์บนเม็ดต่างกัน แถวกลางตัวอักษรเหมือนกันแต่ถ้าสังเกตด้านซ้ายขนาดเม็ดจะเล็กกว่า ส่วนรูปกราฟจากการศึกษาทดลองไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหลอกหรือการให้คำปลอบขวัญแก่คนไข้จะช่วยในการรักษาดีขึ้น






หลายๆ ท่านเชื่อว่าเป็นเรื่องของ จิตศาสตร์ ( psychological ) ที่ทำให้เกิดผลจริง เนื่องจากแรงศรัทธาของคนไข้หรือไม่ก็เป็นการสำคัญผิดคิดไปเอง ถ้าคุณเชื่อว่ายานั้นช่วยคุณได้มันก็จะช่วย ทั้งหมดมันขึ้นอยู่ที่จิตใจพลังแห่งความคาดหวังเมื่อมีขึ้นมาร่างกายก็จะผลิตสารฮอร์โมนที่เรียกว่า เอนเดอร์ฟีน (endorphine) ขับออกมา ในส่วนของระบบประสาทอัตโนมัติสมองเราจะกลั่นกรองรับรู้ข้อมูลสัมผัสอันตรายต่างๆ เช่นฮอร์โมน แอดรีนาริน / โดปามีน ,นอร์อิพิเนพฟีน ทำให้เราพุ่งพล่าน ตอบสนองสิ่งเร้าได้รวดเร็ว ขณะที่อารมณ์เชิงบวกของคนเราก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์, ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นมีการพัฒนาไอคิว เราจะพบเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากการทำสมาธิ จึงเกิดคำถามที่ว่าหากแพทย์เมื่อเห็นประโยชน์จากยาหลอกแล้วเจตนาสั่งจ่ายหลอกให้แก่คนไข้ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีตัวยาจริงในการรักษาโรคอาการนี้จะถือว่าเป็นการผิดจริยธรรมหรือไม่?   คำตอบของข้อนี้อาจแสดงออกมาหลายๆแนวความคิด อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มแพทย์ได้แสดงความเห็นว่า ‘ในฐานะแพทย์แล้วเราควรจะเห็นคุณค่าของยาหลอกว่ามีความปลอดภัยมีประสิทธิภาพและราคาถูกควรนำข้อได้เปรียบเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันให้ได้เต็มที่’




ที่มา Thai Pharmaceutical Manufacturers Association
เกิดอะไรขึ้นกับสมองเมื่อได้รับยาหลอก (placebo effect) http://www.vcharkarn.com/vcafe/103021
องค์การเภสัชกรรม The Government Pharmaceutical Organization  เรียบเรียงจากเอกสารอ้างอิง
1. The mysterious placebo effect
2. The Placebo Effect วารสาร Scientific American ฉบับ january 1998
3. The Placebo Effect http://skepdic.com/piousfraud.htm/piousfraud
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ไม่มีความคิดเห็น: